วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สวัสดีปีใหม่ 2557

วัดพระธาตุลำปางหลวง อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง
สวัสดี ปีใหม่ โลกใสสด 
จิตปรากฎ สงบ และสุขสันต์
วันผ่านไป ใหม่มา อยู่ทุกวัน 
ที่เพิ่มพลัน คือเวลา อายุตน

ส่งความสุข อวยพร ให้สมใจ 
เรียนรู้ไป ให้ชีพ ช่วยชูผล
ประกอบกิจ การงาน สำเร็จดล 
ก้าวไปบน เบิกบาน สำราญใจ

คิดชอบดี มีคุณ มีค่ามาก 
คำจากปาก พูดดี ประโยชน์ใหญ่
ทำดีไว้ ให้ผล ทุกคนไป 
คิดพูดทำ ดีไว้ ใจสุขจริง

ให้ใจสุข สร้างโลก อันสดใหม่
ให้อภัย เมตตา สรรพสิ่ง
ให้อดทน เป็นหลัก ได้พึ่งพิง
ให้ให้ยิ่ง ได้รับ กลับทวี

ปีใหม่นี้ ต้องดี กว่าปีเก่า
ด้วยจิตเรา สร้างโลกย์ อันสดศรี
รับความรัก ความเจริญ ประดามี
ตลอดปี ตลอดไป ได้รื่นรมย์(เอย)

ด้วยจิตนอบน้อม
ตุ๊ดตู่ ร่าเริง
๑ มกราคม ๒๕๕๗

วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ความเกลียดชัง



สิ่งที่ผมเห็นในจิตเป็นจริงขึ้นมาแล้ว ความตาย ผลของการปลุกเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชัง จนเติบใหญ่หยั่งรากระบัดใบ จนออกดอกออกผล ผลของความเกลียดชังคือการทำลาย เริ่มจากการทำลายความเป็นมนุษย์ของคนอื่น ตามด้วยความชอบธรรมในการทำลายคนอื่น และจบลงด้ว ความตาย  
ความตายที่นำความเศร้ามาเป็นเบื้องต้น ความเจ็บแค้นมาในท่ามกลาง และการอาฆาตทำลายในที่สุด 
มนุษย์กระทำต่อกันดั่งนี้ วงจรแห่งกรรมจึงทำงานอย่างเที่ยงธรรม 
ความเกลียดชังก็คือเมล็ดพันธุ์ที่รอจะเติบโต เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม การสืบต่อ การเติบโต จึงดำเนินไป 
ความเกลียดชังที่ถูกเติมปัจจัย ให้ข้อมูล กระตุ้น สร้างความชอบธรรมในนามแห่งขั้วตรงข้ามของความเมตตา มันเติบโตจนผู้สร้างความเกลียดชังด้วยความดี ไม่อาจควบคุมความเกลียดชังด้วยความดีที่เป็นผู้สร้ืางความเกลียดชังได้ มันจึงเริ่มทำลาย ทำลายภายนอก และเป็นที่คาดการณ์ได้ สิ่งทิ่จะถูกทำลายต่อไปคือภายใน ภายในคือจิตใจของเขาเอง เมล็ดพันธุ์เล็กๆ เติบโตได้ด้วยสภาพที่เอื้ออำนวย หล่อหลอม และเมื่อเติบใหญ่ไม่อาจควบคุมได้เพราะเจตจำนงได้ถูกประทับไว้และสั่งสมมาจนแข็งกล้า
ความตายของมนุษยชาติ คนแล้วคนเล่า ไม่อาจชี้ทางให้คนมืดบอดได้เดินไปได้ ด้วยคนมืดบอดไม่อาจละทิ้งสิ่งที่ตนยึดถือ สิ่งที่ยึดถือปิดบังความสว่าง ความสว่างจึงไม่ปรากฏต่อคนที่ยึดถือมโนธรรมอันสมมุติกันมาอย่างต่อเนื่อง มโนธรรมที่เป็นจริงจากการยึดถือ เชื่อและเชื่อ จนไร้ความรู้สึก ความรู้สึกเมตตาที่ควรมีต่อมนุษย์ด้วยกัน ไม่ว่าจะดำรงอยู่หรือสิ้นสุดลง
ถ้อยคำชักจูงให้เกลียดชัง ปลุกสิ่งที่ซ่อนอยู่ เรามีความเกลียดชัง มีความต้องการทำลายอยู่ภายในเป็นธรรมดา เมื่อถูกกระตุ้น และมีสิ่งรองรับว่าไม่ผิด ไม่ผิดจากมโนธรรม มโนธรรมที่เรายึดถือ เราจึงมีความชอบธรรมที่จะเกลียดชัง และมีความชอบธรรมที่จะทำลาย 

จากความเกลียดชังที่เติบโตในใจเรา ประกอบกับมโนธรรมที่เรายึดถือ มันสร้างพลังแห่งความเกลียดชังที่ยิ่งใหญ่ เรามีสิทธิ์ที่จะทำลาย เราสร้างสิทธิ์นั้น สิทธิ์แห่งการทำลายด้วยมายาที่ฉาบทาเคลือบไว้ด้วยมโนธรรม ในนามแห่งความดีตามมโนธรรมที่เรายึดถือ เราจึงทำลายสิ่งที่ตรงข้ามกับมโนธรรมที่เรายึดถืออย่างไม่มีเมตตา 

เราไม่มีเมตตาด้วยความรู้สึกของเราไม่ทำงาน ความรู้สึกว่าเราเป็นมนุษย์ด้วยกัน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันหมดทั้งสิ้น จักทำกรรมอันใดไว้ก็ตาม ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม จักเป็นผู้รับผลที่เรากระทำไว้ เราไม่มีแม้กระทั่งเมตตากับตัวเอง ว่าจะต้องรับผลของการทำลายจากมือของเรา ความเกลียดชังช่างมีพลังยิ่งนัก มันฆ่าแม้กระทั่งตัวผู้เกลียดชังเอง

ความตาย คนตาย ขอความเมตตาจงปรากฏกายเพื่อให้โลกนี้ยังดำรงด้วยความลำบากน้อย ความลำบากน้อยที่เป็นผลของความเมตตา
สัตว์ทำร้ายทำลายกันด้วยสัญชาตญาณของการดำรงอยู่ แต่มนุษย์ทำร้ายทำลายกันด้วยความเกลียดชัง ความเกลียดชังที่ถูกกระตุ้น ปลุกเร้า ให้เติบใหญ่มีพลังแห่งการทำลายอันประมาณมิได้ 
แม้ความเกลียดชังยังคงดำรงอยู่ในใจเรา แต่ความเมตตาก็ดำรงอยู่ในใจเราเช่นกัน
ดังนั้น เราจึงดำรงอยู่ได้ด้วยการอยู่ร่วมกันอย่าง เมตตาและเข้าใจกัน 
เราจึงเป็นมนุษย์ที่ไร้ความเกลียดชัง


วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ถ้อยความแห่งรักใคร่

ผมใช้เวลาติดตามและสังเกตความเป็นไปในปัจจุบันของสังคมไทย สังคมที่มีการแปลกแยก ช่วงชิง แข่งขัน กระทบกระทั่งกันตลอดเวลา คลื่นแห่งความขัดแย้ง ความชิงชัง ถ้อยคำชักจูง (การแสดงหลักฐานเป็นการชักจูง การทำให้น่าเชื่อถือเป็นการชักจูง การกระตุ้นกิเลสในตัวมนุษย์ ให้รัก ชอบ โกรธ เกลียด แค้น และอื่นๆ เป็นการชักจูงเช่นกัน)
ความคิดของผู้คนเป็นอย่างไรหนอ ระหว่างติดตามและสังเกต ผมก็พยายามทำความเข้าใจไปพร้อมกัน ตลอดเวลาที่ผมแลกเปลี่ยนกับมนุษย์ด้วยกันนั้น ผมเชื่อมั่นเสมอในความเป็นมนุษย์ของแต่ละปัจจเจกบุคคลที่ไม่เหมือนกัน ผมแสดงทัศนะเสมอว่า ในสิ่งที่ดีก็มีสิ่งไม่ดีอยู่ ในสิ่งไม่ดีก็มีสิ่งที่ดีอยู่ มีคนถามผมว่ามันจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร ผมมักยกตัวอย่างความปรารถนาดีระหว่างมารดาและบุตร มารดาปรารถนาดีและตามใจบุตรเสมอมาในขณะเดียวกันก็บ่มเพาะความไม่พึงปรารถนาบางอย่างให้กับบุตรได้ หรือความปรารถนาดีของบุตรที่ขโมยอาหารและยามาให้มารดา สิ่งคู่กันนี้ดำรงอยู่ด้วยกันเสมอมาเป็นพื้นฐาน และความจริงที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เหมือนหน้ามือและหลังมือมาพร้อมกันแล้วแต่เราจะดูด้านใด แต่มันเชื่อมโยงกันด้วยสิ่งที่สัมผัสได้คือความรักใคร่ ความรักใคร่ที่ขับเน้นให้เราเป็นไป
ในถ้อยคำแห่งความเกลียดชัง นั้นก็มีความรักใคร่แฝงอยู่เช่นกัน เกลียดสิ่งหนึ่งเพราะรักอีกสิ่งหนึ่ง เรามักแยกมันไม่ออกมองมันไม่เห็น หากยังไม่ได้ผลตามที่เราต้องการเรามักแสดงมากขึ้น มีกิจกรรมหนึ่งที่เราใช้ในการแสดงให้เห็นการไม่ยอมรับของสังคม เราใช้ในกลุ่มใหญ่ที่มีคนประมาณ 20 คนขึ้นไป เราให้มีอาสาสมัครสักสามคน ออกไปนอกห้องแล้วมีกติกาว่าเขาต้องแสดงโดยไม่พูดให้คนอื่นทายว่าเขาแสดงเป็นอะไร เรามักใช้สัตว์สามชนิด เช่น งู ช้าง เสือ เป็นต้น แต่ผู้จัดจะรู้ว่าคนที่เข้ามาจะแสดงเป็นอะไร และจะบอกผู้อยู่ในห้องว่าห้ามทายเป็นสัตว์ชนิดนั้น คนแรกเป็นงู เราให้ทายได้ทุกอย่างยกเว้น งู เมื่อผู้แสดงเข้ามาแสดงให้ทาย เขาจะแสดงเริ่มจากคิดว่าเอาละคนต้องรู้แน่ว่าเป็นงู ชูมือ แผ่แม่เบี้ย และเมื่อยังไม่มีคนทายถูกก็จะเพิ่มความพยายามมากขึันไปอีก บางคนลงทุนเลื้อยไปกับพื้น และท้ายที่สุดเมื่อไม่มีใครทายถูกเขาก็หมดแรงและยอมแพ้ เราให้ผู้แสดงคนแรกนั่งดูในห้องและห้ามพูด คนที่สองเข้ามาและอาการก็เป็นอย่างเดียวกัน ผม(ผู้จัด)สังเกตเห็นเขาเริ่มเข้าใจบางอย่างและบางคนที่มีเมตตามากจะน้ำตาใหลสงสารเพื่อนคนที่สองถึงกับหันหลังไม่อยากดู เหตุการณ์เป็นเช่นนี้จนครบสามคน สิ่งแรกที่ทำเมื่อจบคือขอโทษอย่างจริงใจ และขอบคุณที่ได้ให่้บทเรียนที่ดีแก่กลุ่ม เราจะเห็นว่าเมื่อไม่มีการยอมรับ ความพยายามอยากให้ยอมรับจะขับเน้นการกระทำให้มากขึ้นและเมื่อถึงที่สุดก็กลายเป็นความผิดหวัง ที่นำไปสู่ความสิ้นหวังในที่สุด บทเรียนจะเป็นไปในใจของแต่ละคนโดยที่มีความคิดและประสบการณ์เป็นผู้สอน และแน่นอนมนุษย์ทุกคนต้องการการยอมรับและจะแสดงมากขึ้นในทุกๆทางที่ปัญญาที่มีส่งให้กระทำไป
ในความรักใคร่ ส่งให้คนใช้ถ้อยคำแห่งความเกลียดชังเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับความรักใคร่ของตนเอง ชักจูงให้คนเห็น หว่านล้อมให้ยอมรับ แสดงออกมากขึ้น และมากขึ้นเพื่อผลที่จะได้รับการยอมรับ ถ้อยคำแห่งความเกลียดชังจึงพรั่งพรูกันออกมา และซ่อนความรักใคร่ไว้ด้านใน เมื่อมีการรวมหมู่พวกขึ้น การเปลียนถ้อยคำแห่งความเกลียดชังอาจพัฒนาต่อไปเป็นถ้อยคำแห่งการทำลาย
ผมเห็นการชักจูงให้ทำลาย ทำลายด้วยความรักใคร่ ปรารถนาให้สิ่งไม่ปารถนาปราศนาการไป ไปจากความรักใคร่แห่งตน การทำลายสิ่งไม่ปรารถนาอย่างมีความชอบธรรมในความดีแห่งตน แต่ไม่ใช่ความชอบธรรมแห่งธรรม เพราะธรรมไม่เคยทำลายสิ่งใด ธรรมตั้งอยู่อย่างอดทน อดทนและเชื่อในผลแห่งกรรมไม่ได้เชื่อในความพยายามใช้ความดีของคน ความดีที่ทำร้ายทำลายสิ่งแตกต่าง
การดั่งนี้ พระพุทธองค์ ทรงกล่าวไว้ด้วยเห็นความเป็นไปในโอวาทปาฏิโมกข์ ว่า

๏ สพฺพปาปสฺส อกรณํ
กุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํ
เอตํ พุทฺธานสาสนํฯ
๏ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง
การบำเพ็ญแต่ความดี
การทำจิตของตนให้ผ่องใส
นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
๏ อนูปวาโท อนูปฆาโต
ปาติโมกฺเข จ สํวโร
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ
ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
อธิจิตฺเต จ อาโยโค
เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ
๏ การไม่กล่าวร้าย การไม่ทำร้าย
ความสำรวมในปาติโมกข์
ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร
ที่นั่งนอนอันสงัด
ความเพียรในอธิจิต
นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ขอให้พิจารณาในถ้อยความที่ว่า อนูปวาโท อนูปฆาโต การไม่กล่าวร้าย การไม่ทำร้าย สิ่งเหล่านี้ในช่วงที่่ผ่านมา ผมเห็นและสิ้นหวังอย่างมากในความเป็นชาวพุทธของคนไทย
อนูปวาโท คือ การไม่ใช้ Hate Speech ซึ่งนำไปสู่ Crime Speech และจะนำไปสู่อาชญากรรมและการทำร้าย (Crime & Violence) ในที่สุด
เราไม่อาจยอมรับการกล่าวร้ายและการทำร้ายในฐานะของผู้สร้างได้ สิ่งนี้เป็นการทำลายอย่างแท้จริง
เราเห็นการคุกคามเพื่อให้คนเห็นคล้อยตาม เราเห็นคนที่ตัดสินคนที่ไม่เห็นด้วยว่าไม่ใช่คน เราเห็นว่ากลุ่มคนสร้างความชอบธรรม ด้วยความเชื่อมั่นในความดี คุณธรรมแห่งตน และสร้างมากขึ้นเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม การพูดชักจูงเหมือนสะกดจิต และให้ตั้งมั่นในความดี คุณธรรมแห่งตนที่ยึดถือไว้ไม่ใช่ความดีที่เป็นของทุกคน มีตรรกะที่สนับสนุนว่าคนอื่นเข้าไม่ถึงความดีที่ตนยึดถือ คนอื่นทึ่เห็นต่างจึงไม่มีคุณค่าเพียงพอที่จะมีความดี ให้น่าสงสัยในความดีเยี่ยงนี้นัก ด้วยว่าเป็นความดีที่ไม่เห็นคนมีคุณค่าทัดเทียมกัน
สิ่งที่มนุษย์พยายามเข้าถึง ความจริง ความงาม ความดี นั้น มีผู้อธิบายไว้ว่า ความจริงนั้นปวดร้าวรันทดเป็นทุกข์ ทุกข์ก็คือความจริง ความทุกข์จะบรรเทาด้วยความงาม เมื่อความงามปรากฏตนความทุกข์ที่เป็นความจริงจะถูกกลบไว้ และนั่นแหละทำให้ความดีได้เผยตัวในใจมนุษย์ มนุษย์จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ สร้างสรรค์ และทำให้โลกนี้น่าอยู่ ไม่มีการกำจัด ไม่มีการทำร้าย มีแต่ความดีที่เป็นประโยชน์ต่อสรรพสิ่ง พื้นดิน แผ่นฟ้า มหานที และไฟปรารถนาในสรรพธาตุรู้ ความดีเยี่ยงนี้เป็นความดีของทุกคน ไม่ว่าจะศึกษามาแขนงใด เพียงแต่มีความเป็นคน สัมผัสได้กับความดีเยี่ยงนี้เอง

ในถ้อยคำแห่งความเกลียดชังนั้นผมเห็นถ้อยความแห่งรักใคร่มีที่ทางของมันอยู่ มันอยู่ด้วยกันรอเวลาให้ผู้ใช้ถ้อยคำแห่งความเกลียดชังได้พบเห็น เห็นความรักใคร่ที่แฝงอยู่ เมื่อความเกลียดชังจากไป ความเมตตากรุณาเผยตนให้เห็นความรักใคร่นั้น
ถ้อยความแห่งรักใคร่จะปรากฏแก่ทุกคนได้ เพียงเพราะเราดำรงตนอยู่ที่นั่นอย่างอดทนเพียงพอ เหมือนรอให้เมล็ดพันธุ์พืชได้งอกงาม ต้นสักใหญ่หลายคนโอบเดิบโตจากเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ได้โตกว่านิ้วหัวแม่มือเลย เพียงแต่ต้องการเวลา และความอดทน นั่นหมายความว่า มนุษย์ต้องมีเมตตาที่ประมาณมิได้เพื่อให้ เมล็ดพันธุ์นัืนเดิบโต
ด้วยจิตนอบน้อม
ตุ๊ดตู่ ร่าเริง
---------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีครับอาจารย์
         ได้อ่านสิ่งดีๆ ก็อดที่จะขออนุญาตแลกเปลี่ยนไม่ได้นะครับ
ผมได้คุยกับเพื่อนบ้านซึ่งเขา เป็นชาวบ้านธรรมดา แต่พอได้คุยกัน ผมรู้สึกว่าเขาไม่ธรรมดา แต่มีความรู้ มีความคิด ที่สูงทีเดียว คือ มันตรงกับข้อความที่อาจารย์พูดว่า "ผมแสดงทัศนะเสมอว่า ในสิ่งที่ดีก็มีสิ่งไม่ดีอยู่ ในสิ่งไม่ดีก็มีสิ่งที่ดีอยู่" ครับ...คือ 
แกพูดว่า "คุณรู้มั้ย ความดี กับ ความเลว มันเป็นฝาแฝดกัน และเป็นแฝดที่แยกไม่ออกด้วย คนแฝด ยังดูรู้ว่าคนไหน แต่ ความ ดี กับ ความเลว มันไม่มีตำหนิให้จดจำ คนที่นำแฝดเลว มาใช้ แล้วบอกว่า มันดี มันก็จะดีในคนคนนั้น แต่ทั้งๆที่ จริงๆ มันเลว เช่น กินเหล้า-สูบบุหรี่ ไม่ดี (อันนี้คงจะแล้วแต่ ใครว่าดีหรือไม่ดี..ยุทธนา) คนกินเหล้า-สูบบุหรี่ แล้วบอกว่าเป็นสิ่งดี มีมาด มีบุคลิก มีฐานะ มัน ก็จะดีในคนคนนั้น คนไปทำงานเช้าก่อนเวลาทุกวัน เป็นสิ่งดี (ในสายตา ความรู้สึก ประเพณีปฏิบัติ....ยุทธนา) แต่คนอื่นๆ บอกว่าไม่ดี มันก็จะเป็นสิ่งไม่ดีสำหรับคนนั้นๆ สรุปว่า การเอาแฝดใดมาใช้ มันมีสิทธิที่จะเป็นอีกแฝดหนึ่ง ได้เสมอ เพราะอยู่ที่คนใช้ ไม่ได้อยู่ที่ไอ้แฝด
ครับอาจารย์.. พอได้อ่านก็เลยนึกถึงที่เล่ามานี้ว่า ดี ไม่ดี ไม่ได้อยู่ไหน ไม่ได้แยกจากกัน มันอยู่ด้วยกันสุดแต่จะมอง...จะทำ...จะหาว่า...จะอะไรๆ....อาทิ ข้อเขียนของอาจารย์นี้ ผมว่า ดี ยังไง มันก็ดีสำหรับผม ใช่ไหมครับ แต่คนอื่นกลับมองว่าไม่ดีบ้างหละ มันก็ไม่ดีสำหรับเขา นะครับ ดังนั้น เหตุการณ์บ้านเมืองก็เช่นกัน เป็นฝ่ายโน้น ฝ่ายนี้ พอเปิดโทรทัศน์ช่องนี้ ก็บอกฉันดี มันไม่ดี กลับไปเปิดโทรทัศน์ช่องโน้น ก็บอกมันไม่ดี ฉันดี แล้วจะให้เข้าใจว่า ใครดี ใครเลว ดังนั้น อีกคำพูดหนึ่งของอาจารย์ที่ว่า
"สิ่งคู่กันนี้ดำรงอยู่ด้วยกันเสมอมาเป็นพื้นฐาน และความจริงที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เหมือนหน้ามือและหลังมือมาพร้อมกันแล้วแต่เราจะดูด้านใด แต่มันเชื่อมโยงกันด้วยสิ่งที่สัมผัสได้คือความรักใคร่ ความรักใคร่ที่ขับเน้นให้เราเป็นไป" นั่นก็คือ แล้วแต่เราจะดูด้านใด นั่นเอง ก็คือ อยู่ที่เรา

ทีนี้ ผมก็มีำคำถามครับอาจารย์ ว่า
ผมไม่มีด้านใด ผมไม่เอาด้านใด เพราะไม่ว่ากี่ด้านต่อกี่ด้าน เลวหมด
คำพูดแบบนี้ มีไหม ใช้ได้ไหม เป็นจริงไหม คือ ทุกสิ่งในโลกใบนี้เลวหมด ฉันดีคนเดียว (รึเปล่า)

ขอบคุณในสิ่งดีๆ ต้อนรับปีใหม่ครับอาจารย์
ศุภฤกษ์ เบิกดิถี วันปีใหม่
พระพรชัย สิงศักดิ์สิทธิ์ ประสิทธิ์ผล
ผลานุภาพ เทพไท้ ให้ช่วยดล
สิริมงคล แด่คุณศิริวัฒน์ นิรันดร์เทอญ
ด้วยความนับถือ
ยุทธนา
---------------------------------------------------------------------------------------------
คำถามพี่ยุทธนา

ผมไม่มีด้านใด ผมไม่เอาด้านใด เพราะไม่ว่ากี่ด้านต่อกี่ด้าน เลวหมด
คำพูดแบบนี้ มีไหม ใช้ได้ไหม เป็นจริงไหม คือ ทุกสิ่งในโลกใบนี้เลวหมด ฉันดีคนเดียว (รึเปล่า)
ตอบพี่ยุทธนา
แยกแยะดังนี้นะครับ
ผมไม่มีด้านใด ผมไม่เอาด้านใด เพราะไม่ว่ากี่ด้านต่อกี่ด้าน เลวหมด
อันนี้เป็นทัศนะที่นำมาเป็นตัวโจทย์
คำพูดแบบนี้ มีไหม ใช้ได้ไหม เป็นจริงไหม
อันนี้เป็นคำถาม แยกเป็นสามตอน คือ ทัศนะนี้ มีไหม 1 ตามด้วย ใช้ได้ไหม 2 ต่อด้วย เป็นจริงไหม 3
คือ ทุกสิ่งในโลกใบนี้เลวหมด ฉันดีคนเดียว (รึเปล่า)
อันนี้อธิบาย คำถามแบบรวบยอด ด้วยการตัดสินทุกสิ่งในโลกใบนี้ และถามว่า ฉันดีคนเดียวหรือไม่
ตีความทัศนะสักนิดนะครับ
ไม่มีด้านใด ไม่เอาด้านใด ไม่ว่ากี่ด้านต่อกี่ด้าน เลวหมด ผมถามกลับว่า แล้วทัศนะของพี่มองจากด้านที่ไม่อยู่ในด้านใด ไม่อยู่ในกี่ด้านต่อกี่ด้าน มันก็ต้องมีที่หยัดยืน มีด้านที่ต่างออกไปจากที่พี่กล่าวมานั้นนะครับ ที่ต่างออกไปนั้นมีการแบ่งแยกอยู่ในนั้น และมีการตัดสิน จากการตัดสินนั่นเองแสดงว่ามีการวัด และมีมาตรแห่งความดีเลวอยู่ในนั้น คือ มันมีเกณฑ์อยู่ในความคิดนั้นครับ นั่นหมายความว่า ในความเลว(ที่ตัดสินไป)ก็มีความดีอยู่(ในเกณฑ์ทีกำหนดไว้แล้ว)มันอยู่ด้วยกันในใจของผู้ตัดสินนั้น
ต่อไปเป็นทัศนะของผม ซึ่งอาจไม่ใช่คำตอบนะครับ
คำพูดหรือถ้อยคำนั้น
เป็นสิ่งที่มนุษย์ใช้สร้างขึ้นเพื่อสื่อสาร สื่อสารกับตนเองและผู้อื่น สื่อสารกับตนเองด้วยการคิด ส่วนใหญ่เราคิดด้วยถ้อยคำ ถ้อยคำที่ถูกสร้างขึ้นมาจากประสบการณ์และการดำรงชีวิตของเรา "ทุกสิ่งที่ออกจากปากล้วนออกจากใจ"
ทีนี้เมื่อถ้อยคำนั้นถูกสร้างขึ้น
ผมไม่มีด้านใด ผมไม่เอาด้านใด เพราะไม่ว่ากี่ด้านต่อกี่ด้าน เลวหมด
มันจึงมีอยู่ มันใช้ได้สำหรับการสื่อสารกับตัวเองและผู้อื่น บ่งบอกความคิดของผู้สื่อความนั้น และมันเป็นจริงในความรู้สึกสำหรับผู้สื่อสารผู้ส่งความนั้น และมันเป็นจริงในความรู้สึกสำหรับผู้เห็นด้วยหรือมีทัศนะเช่นเดียวกัน แต่มันอาจไม่เป็นจริงในความรู้สึกสำหรับผู้มีทัศนะตรงกันข้าม และมันอาจไม่สร้างความรู้สึกเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงในผู้ไร้ทัศนะต่อถ้อยความนั้น
ด้วยทัศนะของผม ความจริงและไม่จริง ไม่มีในโลก มีแต่ความรู้สึกที่ว่าจริงหรือไม่จริงเท่านั้นซึ่งเป็นไปตามที่มนุษย์ให้ คุณค่า ตีราคา ให้ความหมาย แล้วเข้าไปยึดถือนะครับ ดังนี้ การยึดถือจึงเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นมา ทั้งคุณค่า ราคา และความหมาย มีได้ด้วยการยึดถือครับ การยึดถือนั้นแหละสร้างเกณฑ์ มาตรวัดและตามมาด้วยการตัดสิน
ทุกสิ่งในโลกใบนี้เลวหมด ฉันดีคนเดียว (รึเปล่า)
สังเกตให้ดีนะครับ ประโยคมีคำตอบในตัวเอง ด้วย
ฉัน เป็นส่วนหนึ่งของ ทุกสิ่งในโลกใบนี้ ดังนั้น ฉันดีคนเดียวหรือไม่ คำตอบคือ ไม่ ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นถ้อยคำนี้ก็ขัดแย้งในตัวเอง
ดี เลว มนุษย์ให้ คุณค่า ราคา และความหมายด้วยการยึดถือครับ
ผมนั้นรับฟังทุกด้านครับ บางครั้งผมมองอีกด้านด้วยทัศนะที่อยากจะมองให้รอบ จึงสร้างความรู้สึกไม่เห็นด้วยให้กับคู่สนทนา และคู่สนทนามักตัดสินผมว่าเป็นคนละพวกกับเขา ผมจึงต้องเปลี่ยนท่าทีในการแสดงทัศนะ บางครั้งก็นิ่งเสีย ตามสุภาษิตไทยเดิมนั่นแหละครับ
อยากยกกลอนของท่านพุทธทาส สักบทครับเกี่ยวกับดีเลวครับ
เขามีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา จงเลือกเอาสิ่งดีเขามีอยู่
เป็นประโยชน์โลกบ้างยังน่าดู ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลย
ตามประสาผมนะครับ สิ่งดี ที่่ท่านว่านั้น คือ เป็นประโยชน์โลก ครับ สิ่งที่โลกนี้สร้างขึ้นมามีประโยชน์และจำเป็นต่อโลกทั้งนั้นครับ ไม่ว่าสิ่งที่เรียกว่าดี หรือ เลว ตามที่ มโนธรรม ยึดถือ
ผมมีงานที่คัดลอกมาจาก โอโช และ คาลิล ยิบรานให้พี่ลองอ่านและให้ความเห็นแลกเปลี่ยนกัน เกียวกับเรื่องที่เราแลกเปลี่ยนกันนี่แหละครับ
ตุ๊ดตู่ ร่าเริง

วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ความจริง ความงาม ความดี


ภาพจาก http://www.flickr.com/photos/mamjodh/2462878725/sizes/z/in/pool-809956@N25/

ผมนั่งดูปรากฏการณ์ของสังคมไทยในช่วงนี้ ช่วงที่มีความขัดแย้งสูงมาก ผมเห็นพลังแห่งความเกลียดชังเลื่อนไหล ถั่งโถมโจมตีกันและกัน ประชุมชนของมนุษย์ทั้งสองข้างมีวาทะกรรมลดทอนความเป็นมนุษย์ของอีกฝ่ายหนึ่งลง ถ้อยคำซึ่งในเวลาปกติไม่ค่อยได้ยิน พรั่งพรูออกมาด้วยความเกลียดชังกันและกัน ไม่เห็นความเป็นมนุษย์ของอีกฝ่ายหนึ่ง 
ความเกลียดชังเช่นนี้แหละที่ถูกสร้างขึ้นมาจากผู้รู้ และนำมาสู่จินตนาการที่นำไปสู่การตัดสินโทษของอีกฝ่ายหนึ่ง ตัดสินด้วยความดูถูกดูแคลน และพยายามกำจัดฝ่ายตรงข้ามด้วยความกลัว ความเกลียดชังนี้เป็นต้นตอของพิษร้ายที่แท้จริง ที่นำคนให้มาประหัตประหารกัน ไม่เชื่อมต่อกัน ไม่ฟังกัน กีดกั้นความปราถนาที่จะอยู่ร่วมกัน ตัดขาดการเชื่อมต่อขาดสมดุลที่จะสร้างพลังในการอยู่ร่วมกันในความแตกต่่าง 
ความเกลียดชังที่สร้างจากการแข่งขัน เอาชนะ ต้องการเป็นผู้อยู่เหนือกว่า แพ้ไม่เป็น อภัยไม่ได้ รอไม่ได้ และไม่อดทน
ความเกลียดชังที่อยู่เหนือเหตุผล เป็นเพียงความรู้สึก เมื่อเราเพลิดเพลิน พร่ำถึง และดื่มด่ำ กับวาทะกรรมแห่งความเกลียดชังวันแล้ววันเล่า เราจึงละเลยไม่ได้ฉุกใจคิด เราดื่มด่ำ พร่ำถึงและเพลิดเพลินไปกับสิ่งนั้นจนเป็นเนื้อเดียวกับมัน จนมันเป็นความจริง ความดีและความงามที่เรายึดถือ ทำสัญญาไว้ว่าต่างจากที่เรายึดถือนั้นไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริง ไม่ดีและไม่งาม ความเป็นเนื้อเดียวกันกับสิ่งนั้้นทำให้เราแปลกแยกจากมนุษย์ต่างฝ่ายออกไป เราปิดกั้นและปกป้องสิ่งที่เรายึดถือนั้นด้วยการกำจัดสิ่งแปลกแยกออกไป ทั้งที่ความเป็นจริงนั้นสิ่งนั้้นมีอยู่ มันอยู่ในตัวของเรานี่เองเพียงแต่เราไม่ได้สังเกต
เราไม่ชอบการกระทำบางอย่างของมนุษย์ฝ่ายตรงข้าม แต่พอถึงเวลาเรากระทำ การกระทำของเราก็ไม่ต่างจากเขา เรามีข้ออ้างแห่งความชอบธรรม ที่จะกระทำเช่นนั้นบ้างในนามแห่งความดีที่เรายึดถือ เราไม่ชอบการให้ร้ายแต่เราให้ร้ายผู้อื่น เราไม่ชอบความรุนแรงแต่เราใช้ความรุนแรง เราไม่ชอบให้ใครบังคับเราแต่เราบังคับผู้อื่น เราทำในนามแห่งความดีที่เรายึดถือ
ความจริงนั้นเป็นทุกข์ทับถมที่เราต้องอดทน อดทนด้วยการเห็นความงามในความเป็นจริงนั้น เพื่อสร้างความดีให้เป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น 
ไม่มีสิ่งใดดีหรือไม่ดีด้วยตัวของมันเอง ความดีถูกสถาปนาขึ้นในใจเพื่อเป็นหลักยึดให้สร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ทั้งมวล ในท่ามกลางความเป็นจริงที่บีบคั้น เพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่อย่างมีความหมาย ท่ามกลางความเป็นไปความพยายามในการควบคุมบังคับจะไม่มีผลถ้าเราไม่เข้าใจ เราจะไม่เข้าใจถ้าเราไม่เรียนรู้ เราจะไม่เรียนรู้ถ้าเราไม่สังเกต เราไม่สังเกตเพราะเราไม่เห็นมันปรากฏ เราไม่เห็นมันเพราะเราเป็นเนื้อเดียวกับมันอย่างแยกไม่ออก เราต้องหยุดและถอยออกมาดู ดูให้เห็น ไม่หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกับสิ่งที่เรายึดถือ
สังคมไทยได้มีปรากฏการณ์แห่งความเกลียดชังใหญ่ๆ เกิดขึ้นเป็นระยะ ครั้งแล้วครั้งเล่า ผ่านกาลเวลาที่ละเลยการเรียนรู้ เราไม่ได้เรียนรู้เพราะเราไม่ได้ทำความชัดเจนในสิ่งที่เกิดขึ้น กระบวนการค้นหาความจริงไม่ได้พูดทั้งหมดของสิ่งที่เกิดขึ้น เราสำแดงเฉพาะที่เราต้องการให้ปรากฏเท่านั้นซึ่งเป็นเศษเสี้ยวของความจริง เพราะเราไม่ยอมเจ็บปวดที่จะพบความจริงทั้งหมดเพียงครั้งเดียว แต่เรายอมที่จะเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่า และครั้งเดียวไม่เคยพอ เรากลบบางสิ่งไว้เพื่อที่จะพบว่า วันต่อมาเมื่อมันสำแดงตนอีกครั้งมันจะหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าเก่า รุนแรงยิ่งกว่าเก่า แก้ไขยากกว่าเก่า สิ่งสำคัญมากกว่าการเรียนรู้ คือเจตนาที่จะเรียนรู้ หากเราไม่มีจิตจำนงที่แน่วแน่ที่จะรู้ให้ได้ เราจะไม่เริ่มเรียนรู้ 
หากเราไม่มีเจตนา จิตจำนงที่แน่วแน่ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติเราจะไม่หาทางที่จะสร้างสันติขึ้นมา เพราะสันติต้องก่อตัวจากใจเราพร้อมด้วยการการทำที่มีเจตจำนงที่แน่วแน่ และผู้คนประจักษ์ชัด ตามเรามาด้วยการกระทำของเรามิใช่ด้วยวาทะกรรมของเรา
ผมเคยเห็นภาพมนุษย์ทำกับมนุษย์อย่างที่มนุษย์ในขณะที่ ความระลึกรู้ รู้สึกตัวทั่วพร้อม ความละอายและเกรงกลัวต่อบาปไม่ได้อยู่กับกายและใจของเขา ความเมตตา กรุณาหลีกเร้นจากใจที่ รังเกียจและกลัว เหตุดั่งนั้นมนุษย์กำจัดมนุษย์ หยามย่ำยีซากมนุษย์ อย่างกับซากมนุษย์นั้นมิเคยเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับเขา หากเป็นขณะที่ ความระลึกรู้ รู้สึกตัวทั่วพร้อม ความละอายและเกรงกลัวต่อบาปอยู่กับกายและใจของเขา ความเมตตา กรุณา มุฑิตา และอุเบกขาทำงาน ความเข้าใจที่ปราศจากความอดทน มนุษย์ผู้กระทำนั้นคงจะมีการกระทำนั้นไม่ได้
มนุษย์ผู้ถูกกระทำ ได้ถูกลดทอนความเป็นมนุษย์ในสายตาของมนุษย์ผู้กระทำด้วย วาทะกรรม วาทะกรรมที่มนุษย์ผู้กระทำ เสพวันแล้ววันเล่า พลิดเพลิน พร่ำถึง และดื่มด่ำ จนเป็นสิ่งเดียวกับตัวตนของเรา วาทะกรรม ที่ลดทอนความเป็นมนุษย์นั้นสร้างจิตนาการให้แตกต่างจากความเป็นจริงที่ว่า เราต่างเป็นมนุษย์ด้วยกัน 
ผมเห็นความงดงามของความห่วงใยของญาติพื่น้องที่ตามหากัน นำมาทำประโยชน์ให้แก่ผู้ล่วงไปด้วยความปรารถนาให้เขาได้เป็นสุขอีกครั้งหนึ่ง โยงใยและถักทอของความห่วงใยสำแดงตนให้เราเห็นความเป็นมนุษย์ ผมเห็นความงามของกรรม ที่ค่อยๆ เผยตน เห็นการสำนึกรู้ ความมีกรรมเป็นของของตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ... 
ผมหวังว่าปัญญาแห่งมนุษยชาติ จะทำให้เกิดถ้อยความแห่งรักใคร่ ในมนุษย์ทั้งหลาย

ขอตั้งจิตนอบน้อมต่อสรรพสิ่ง
ขอให้ความงดงามของสรรพสิ่ง ได้เป็นพล้งส่งให้สรรพธาตุรู้มีกำล้งสร้างสรรค์ความมีประโยชน์ เพื่อเผชิญความจริงหี่กดทับในห้วงหุกข์ทน
ตุ๊ดตู่ ร่าเริง

ก่อนถ้อยความนี้ ปัญญาแห่งมนุษยชาติ
และ ถ้อยความแห่งรักใคร่

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ถ้อยความแห่งรักใคร่

ขอตั้งจิตนอบน้อมต่อสรรพสิ่ง
ขอให้ความงดงามของสรรพสิ่ง ได้เป็นพล้งส่งให้สรรพธาตุรู้มีกำล้งสร้างสรรค์ความมีประโยชน์ เพื่อเผชิญความจริงหี่กดทับในห้วงหุกข์ทน
ขอความงดงามมีพลังแปรเปลี่ยนถ้อยคำแห่งความเกลียดชัง เป็นถ้อยความแห่งรักใคร่

ผมถามตัวเองว่า "ในใจนั้นมีความเป็นกลาง อยู่กับความเป็นจริง เห็นทุกสิ่งธรรมดา ทำงานไปอย่างเป็นงานของชีวิต เป็นมิตรกับสรรพสิ่งและสรรพธาตุรู้ อยู่กับวาทะปรามาส และชมเชยอย่างสร้างสรร ใช่ไหม"
ตอบและเตือนตนเองเสมอ ให้ตั้งมั่นเช่นนั้น

เหตุการณ์ปัจจุบันผมเห็นถ้อยคำแห่งความเกลียดชัง กระจายไปสู่ผู้คนอย่างรวดเร็ว การตัดสิน ดูถูกเหยียดหยาม และความกลัว มีพลัง พลังอันปราศจากสติ และปัญญาควบคุมความมุ่งทำลายล้างสิ่งที่ถูกตัดสิน ดูหมิ่นเหยียดหยาม รังเกียจและกลัว ไม่เห็นความเป็นมนุษย์ของมนุษย์ขั้วตรงข้าม เพราะมนุษย์ขั้วตรงข้ามถูกวาทะกรรม ของคนชั้นนำกดกลืนให้ต่ำ จนไม่มีความเป็นมนุษย์ ในขั้วตรงข้าม สร้างความชอบธรรมที่จะทำลายให้ไม่มีอยู่ในชีวิต ทำลายชีวิตเพื่อยังชีวิต

ปกติเราถูกสภาวะความจริงเช่นนี้กระทำอยู่เสมอ เราเผชิญกับสิ่งนั้นๆ อย่างไม่ได้ฉุกคิดไม่เฉลียวใจ ในสิ่งที่ยึดถือ ยึดและถือด้วยสภาวะที่สังคมที่หล่อหลอมมาว่าต้องเป็นเช่นนั้น เราถูกหล่อหลอมมาด้วยความเชื่อไม่ใช่ด้วยความคิด ชุดความคิดของเราถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่เรายังไม่มีกระบวนคิด แล้วเราก็ละเลย ไม่สงสัยในชุดความคิดที่ที่เรายึดถือ เราจึงไม่พ้นไปจากการชักจูงจากความเชื่อ เราไม่เคยตระหนักในชุดความคิดอื่นที่พ้นไปจากชุดความคิดที่เราได้รับการปลูกฝังมา ชนชั้นนำอีกกลุ่มก็สร้างชุดความคิดอื่นขึ้นมาเช่นกัน ด้วยการหล่อหลอมนั้นชุดความคิดต่างๆ ก็เติบโตมาพร้อมกับชุดความคิดของเรา ชุดความคิดมากมายถูกสร้างขึ้นมาเช่นนี้ แต่เราไม่ได้สนใจความแตกต่างเหล่านั้นเพราะชุดความคิดของเรากดทับความสงสัยของเราไว้ เมื่อชุดความคิดต่างๆ ปะทะกัน เราไม่มีที่หยัดยืนให้ในความคิดของเรา เราไม่ศึกษาไม่ให้พื้นที่ปลอดภัยที่จะให้ความคิดต่างมีพื้นที่ปรากฏตน เราตัดสิน ดูุถูกเหยียดหยาม และกลัวความคิดต่างนั้น เราไม่ได้อยู่กับความเป็นจริง เราไร้เมตตาที่จะให้ความคิดต่างได้หยัดยืน เราฆ่าตัดตอนในขณะที่เราประณามการฆ่าตัดตอน

เราไม่เรียนรู้เพราะเราไม่เห็นในสิ่งที่เราทำ เราไม่คิดในสิ่งที่เราเห็น เราไม่พูดในสิ่งที่เราคิด และสุดท้ายเราไม่ทำในสิ่้งที่เราพูด

เมื่อจิตที่ไร้เมตตาปรากฏ กรุณา มุฑิตา อุเบกขา ก็ไม่เผยตนได้
ผมได้ทำตามที่ผมพูด ผมเห็นในสิ่้งที่ผมทำ ผมคิดตามที่ผมเห็น และผมพูด(เขียน)ตามที่ผมเห็น

ขอตั้งจิตนอบน้อมต่อสรรพสิ่ง
ขอให้ความงดงามของสรรพสิ่ง ได้เป็นพล้งส่งให้สรรพธาตุรู้มีกำล้งสร้างสรรค์ความมีประโยชน์ เพื่อเผชิญความจริงหี่กดทับในห้วงหุกข์ทน

ขอความงดงามมีพลังแปรเปลี่ยนถ้อยคำแห่งความเกลียดชัง เป็นถ้อยความแห่งรักใคร่ เพื่อสรรพธาตุรู้จะได้สร้างสรรค์สรรพสิ่งที่มีประโยชน์ ท่ามกลางความจริงที่ทุกข์ทน

ก่อนถ้อยความนี้ ปัญญาแห่งมนุษยชาติ
ท่อนต่อจากถ้อยความนี้ ความจริง ความงาม ความดี

วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ชาติและแผ่นดิน ความจริง ผลประโยชน์


พระวิหารชี้ชะตา?

ความคิดเห็นจาก เสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ 
และมรกต เจวจินดา ไมยเออร์ จากสถาบันนานาชาติ ปรีดี พนมยงค์



10 พฤศจิกายน 2556 


งานแถลงข่าว "คำตัดสินศาลโลก : คดีตีความปราสาทพระวิหาร"


วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน 2556 เวลา 13.30 น. ณ ห้อง 202 อาคารจามจุรี 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดงานแถลงข่าวเรื่อง "คำตัดสินศาลโลก: คดีตีความปราสาทพระวิหาร" เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำตัดสินของศาล­โลกที่ได้ตีความคดีปราสาทพระวิหารและท่าที­ของประเทศไทยหลังคำตัดสินดังกล่าว โดยมีผู้ร่วมแถลงข่าว ประกอบด้วย ศ.นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดีจุฬาฯ ศ.ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ ศ.ดร.ชุมพร ปัจจุสานนท์ คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ ศ.ดร.ไชยวัฒน์ ค้ำชู คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเท­ศ และ รศ.ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม­เอเชียตะวันออกเฉียงใต้


เบื้องหลังคดีพระวิหาร


นายวีระชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทย กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ หัวหน้าคณะต่อสู้คดี 
นายณัฏฐวุฒิ โพธิสาโร รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกันชี้แจงผลของคำพิพากษาศาลโลก 
โดยมี ดร.ชุมพร ปัจจุสานนท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ ดำเนินรายการ


รายการ Intelligence ประจำวันที่ 16 พฤศจิกายน 2556


ฟังทัศนะของ 
พนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 
และ
ไชยวัฒน์ ค้ำชู อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


รายการ Intelligence ประจำวันที่ 17 พฤศจิกายน 2556

วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ฝากไว้ให้คิด



คติในการดำรงชีวิต
เห็นโลกตามจริง ทุกสิ่งธรรมดา งานพาชีวิต มุ่งมิตรมากมาย หลากหลายวิจารณ์

เห็นโลกตามจริง = เห็นการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปของสรรพสิ่ง ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน และสรรพสิ่งนั้นล้วนเป็นทุกข์ถ้าเราเข้าไปยึดถือ และยึดถือไม่ได้ด้วยสรรพสิ่งล้วนไม่มีตัวตนให้ยึด
ทุกสิ่งธรรมดา = มันเป็นของมันอย่างนั้นแหละ ไม่มีอะไรน่าอัศจรรย์ ไม่มีอะไรแปลกประหลาด ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วเกิดจากเหตุปัจจัยทั้งนั้น เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
งานพาชีวิต = ถ้าไม่ทำงานของชีวิต เราก็จะสิ้นชีวิต ถ้าไม่เคี้ยวอาหารก็ไม่อิ่ม ถ้าอาหารไม่ย่อยก็เป็นพิษ ถ้าไม่ขับถ่ายก็... ทั้งหมดนี้เปรียบเช่นงานของเรา บางส่วนเราทำบางส่วนเป็นไปตามที่ควรจะเป็น ถ้าเราทำตามหน้าที่ หน้าที่จะทำให้ชีวิตของเราดำเนินไป ดังนั้น จงทำงาน อย่างแรก ทำด้วยความพอใจ เพื่อดำรงชีพ อย่างที่สอง ศึกษาเพื่อหาทางทำกิจการงานให้สำเร็จ อย่างที่สามเมื่อมีวิชาชีพ จงประกอบอาชีพทำอย่างเต็มกำลัง
มุ่งมิตรมากมาย = คนเราทุกข์เพราะความสัมพันธ์มากที่สุด ทุกข์ที่สุดเพราะจัดความสัมพันธ์กับตัวเองไม่ได้ ดังนั้นเริ่มจากเป็นมิตรกับตัวเอง รักเคารพ นอบน้อมตัวเองเป็นและมิตรสหายจะมาเอง มาด้วยความนอบน้อมของเรา สุภาษิตจีนว่าไว้ว่า ศัตรูเพียงหนึ่งคนก็มากเกินไปแล้ว  พยายามจัดความสัมพันธ์ให้เป็นไปตามธรรมชาติให้มากที่สุด
หลากหลายวิจารณ์ = เราไม่อาจหนีคำวิจารณ์ได้ แม้องค์พระปฏิมายัง และมนุษย์เดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา จงอยู่กับคำพูดกับคำพูดคนเหมือนกับอยู่กับกระจกเงา กระจกดีเงาถูกต้อง กระจกไม่ดีเงาไม่ถูกต้อง กระจกดีใจไม่ดีเงาไม่ถูกต้อง กระจกไม่ดีใจไม่ดีเงาพาโทสะ กระจกไม่ดีใจดีเงาสร้างสรรค์ กระจกไม่ดีใจไม่ดีเงาพาโมหะ เจ้าคุณนรรัตนราชมานิต ให้วัคซีนแก่จิตไว้ว่า ดีแสนดีมันก็ด่า ชั่วแสนชั่วมันก็ชม จะเอาอะไรกับปากมนุษย์

สิ่งประทับใจในการทำงานกับ กฟผ. และเพื่อนร่วมงาน
ทำงาน กฟผ. มา 38 ปี จนเกษียณ ประทับใจนายทั้งหมดที่ผมทำงานด้วย นายมานิตย์ พรหมบุญ ใช้งานและให้บรรจุโดยไม่สอบ นายไพรัช ศุภวิวรรธ์ วางแผนให้เลื่อนระดับไม่อายรุ่นพี่ น้อง ผองเพื่อน นายปราโมทย์ อินสว่าง ให้ความละเอียด อดทน ทุ่มเททำ นายสามารถ สุทธางคกูล ให้ที่หลบภัย นายวิโรจน์ บุญชยางค์กูล ให้การสนับสนุนบนระเบียบและหาทางออกบนทางตัน นายที่เป็นนาง โรจนา พัชรี ให้โอกาสทำงาน และสนับสนุนให้เลื่อนระดับ และนายกิตติ ตันเจริญ ให้โอกาสทำงานทั้งที่ไม่รู้จักกันมาก่อน
ประทับใจในเพื่อนและน้องทุกคน เพราะผมทำงานคนเดียวไม่ได้ ต้องมีคนให้งานผม มีคนทำงานร่วมกับผม ทีมงานที่มีให้บทเรียนที่ดีแก่ผม ผมไม่เคยใช้เส้น ใช้ชีวิต เลือดเนื้อ และฝีมือทำงานมา แต่หากปราศจากโอกาสจากนายทั้งหมด ปราศจากความร่วมมือจากเพื่อน และปราศจากทีมงาน ผมคงไม่มีวันนี้ ขอบคุณนาย เพื่อน และทีมงานทั้งหมดที่ให้โอกาส ให้ความร่วมมือจนผมทำงานได้บรรลุมาเป็นลำดับ  
ขอบคุณด้วยจิตนอบน้อม

สิ่งที่ต้องการฝากไว้ให้รุ่นน้อง

ไม่ได้เอาอะไรมา  ไม่ได้เอาอะไรไป
ไม่มีอะไรฝากไว้  อยู่เหมือนไร้ตัวตน
ไปและมาดั่งสายลม

วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556

โรคต่างๆ

      เพื่อประกอบความรู้เรื่องโรคต่างๆ ช่วยให้ทราบถึงอาการและแนวทางการป้องกัน การรักษา ในเบื้องต้น โปรดพิจารณาด้วยวิจารณญาณของท่าน เพื่อประโยชน์ในการดูแลรักษาสุขภาพด้วยครับ

โรคเบาหวาน
หมายถึง ภาวะที่ร่างกายไม่สามารถสร้างหรือใช้อินซูลินได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย โดยปกติอินซูลิน มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสร้างพลังงานของร่างกาย สาเหตุที่แท้จริงของโรคเบาหวานยังไม่แน่ชัด อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้เกิดโรคนี้คือ พันธุกรรม และแบบแผนการดำเนินชีวิต ผู้ที่เป็นโรคนี้อาจเสี่ยงต่อการเกิด โรคไต โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ตาบอด หรือมีการทำลายของเส้นประสาท
อาการ
ปัสสาวะจะบ่อยมากขึ้นถ้าระดับน้ำตาลในกระแสเลือดมากกว่า180 มก.% โดยเฉพาะในเวลากลางคืนผู้ป่วยจะหิวน้ำบ่อยเนื่องจากต้องทดแทนน้ำที่ถูกขับออกทางปัสสาวะ อ่อนเพลีย น้ำหนักลดเกิดเนื่องจากร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลจึงย่อยสลายส่วนที่เป็นโปรตีนและไขมันออกมา
ผู้ป่วยจะกินเก่งหิวเก่งแต่น้ำหนักจะลดลง อาการอื่นๆที่อาจเกิดได้แก่ การติดเชื้อ แผลหายช้า คัน
เห็นภาพไม่ชัด ชาไม่มีความรู้สึก เจ็บตามแขนขา อาเจียน
สาเหตุ
ยังไม่ทราบแน่นอนแต่องค์ประกอบสำคัญที่อาจเป็นต้นเหตุของการเกิดได้แก่ กรรมพันธุ์ อ้วน ขาดการออกกำลังกาย หากบุคคลใดมีปัจจัยเสี่ยงมากย่อมมี่โอกาสที่จะเป็นเบาหวานมากขึ้น ปัจจัยเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานได้แสดงข้างล่างนี้
คำแนะนำ
1. รับประทานอาหารให้ถูกต้องตามที่กำหนดให้ และรู้จักวิธีใช้อาหารที่สามารถทดแทนกันได้
2. ใช้อินซูลิน หรือยาเม็ดให้ถูกต้องตามเวลา
3. ระวังรักษาสุขภาพอย่าตรากตรำเกินไป
4. รักษาร่างกายให้สะอาด และระวังอย่าให้เกิดบาดแผล
5. หมั่นตรวจน้ำตาลในปัสสาวะ
6. ออกกำลังกายแต่พอควรสม่ำเสมอ
7. ถ้ามีอาการอ่อนเพลีย ตกใจ หวิวใจสั่น เหงื่อออก หรือมีอาการปวดศีรษะตามัว ให้รับประทานน้ำหวาน หรือน้ำตาลเข้าทันที ทั้งนี้เนื่องจากรับประทานอาหารไม่เพียงพอกับยา แต่ถ้าได้รับประทานอาหารที่น้ำตาล มากเกินไปและได้อินซูลินหรือยาน้อย ผู้ป่วยจะมีอาการง่วงผิวหนังร้อนผ่าว คลื่นไส้ อาเจียน หายใจมี กลิ่นคล้ายผลไม้ ถ้าทิ้งไว้อาจทำให้ไม่รู้สึกตัว ต้องรีบตามแพทย์ทันที
8. ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรมีบัตรบ่งชี้ว่าเป็นเบาหวาน และกำลังรักษาด้วยยาชนิดใดอยู่เสมอ และควรมีขนมติดตัวไว้ด้วย
9. อย่าปล่อยตัวให้อ้วนเพราะ 80% ของผู้ป่วยโรคนี้เกิดจากการอ้วนมาก่อน
10. อย่าวิตกกังวลหรือเครียดมากเกินไป
11. เบาหวานเป็นกรรมพันธุ์ได้ หากสงสัยว่าเป็นเบาหวานควรได้รับการตรวจเลือดจากผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
12. ต้องระมัดระวัง เมื่ออายุเกิน 40 ปี ควรตรวจเลือดดูเบาหวานทุกปีเพราะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ง่าย


โรคภูมิแพ้
โรคภูมิแพ้ หรือโรคแพ้ (Allergy) หมายถึง โรคที่เกิดขึ้นกับผู้ที่มีอาการไวผิดปกติต่อสิ่งซึ่งสามารถก่อให้เกิดภูมิแพ้ ( Allergen ) ซึ่งธรรมชาติสารเหล่านี้อาจไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้กับคนปกติทั่วไป
โรคภูมิแพ้เกิดได้ทุกเพศทุกวัย เด็กอายุ 5 ถึง 15 ปี มักพบว่าเป็นบ่อยกว่าช่วงอายุอื่น ๆ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่โรคแสดงออก หลังจากได้รับสิ่งกระตุ้นมานานเพียงพอ อย่างไรก็บางคนอาจเริ่มเป็นโรคภูมิแพ้ตอนเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ได้
โรคภูมิแพ้นั้นมิใช่โรคติดต่อ แต่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม จากรุ่นคุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย คุณพ่อคุณแม่ มาสู่ลูกหลานได้ อาจพบว่าในครอบครัวนั้นมีสมาชิกป่วยเป็นโรคภูมิแพ้หลายคน ตัวการที่ทำให้เกิดอาการแพ้ เรียกกว่า สารก่อภูมิแพ้ (Allergens) หรือ สิ่งกระตุ้น ซึ่งอาจเข้าสู่ร่างกายทางระบบหายใจ การรับประทานอาหาร การสัมผัสทางผิวหนัง ทางตา ทางหู ทางจมูก หรือโดยการฉีดหรือถูกกัดต่อยผ่านผิวหนัง ตัวการที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้มีอยู่รอบตัว สามารถกระตุ้นอวัยวะต่าง ๆ จนก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ เช่น
ทางลมหายใจ
ถ้าสิ่งกระตุ้นผ่านเข้ามาทางลมหายใจ ตั้งแต่รูจมูกลงไปยังปอด ก็จะทำให้เป็นหวัด คัดจมูก จาม น้ำมูกไหล คันคอ เจ็บคอ ไอ มีเสมหะ เสียงแหบแห้ง และลงไปยังหลอดลม ทำให้หลอดลมตีบตัน เป็นหอบหืด
ทางผิวหนัง
ถ้าสิ่งกระตุ้นเข้ามาทางผิวหนัง จะทำให้เกิดผื่นคัน น้ำเหลืองเสีย
ทางอาหาร
ถ้าสิ่งกระตุ้นเข้ามาทางอาหาร จะทำให้ท้องเสีย อาเจียน ถ่ายเป็นเลือด เสียไข่ขาวในเลือด อาจทำให้เกิดอาการทางระบบอื่น ๆ ได้ เช่น ลมพิษ หน้าตาบวม
ทางตา
ถ้าสิ่งกระตุ้นเข้ามาทางตา จะทำให้เกิดอาการแสบตา คันตา หนังตาบวม น้ำตาไหล
สารก่อภูมิแพ้ที่พบทั่ว ๆ ไป
สารก่อภูมิแพ้ซึ่งเป็นตัวการของโรคภูมิแพ้ ที่มักพบบ่อย ๆ ได้แก่
 ฝุ่นบ้าน ตัวไรฝุ่นบ้าน
มักปะปนอยู่ในฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 0.3 มม. มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
 เชื้อรา
                มักปะปนอยู่ในบรรยากาศ ตามห้องที่มีลักษณะอับชื้น
อาหารบางประเภท
อาหารบางอย่างจะเป็นตัวการของโรคภูมิแพ้ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารจำพวก อาหารทะเล เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา อาหารอีกจำพวกที่พบได้บ่อยคือ แมงดาทะเล ปลาหมึก อาจทำให้เกิดลมพิษผื่นคันได้บ่อย ๆ เด็กบางคนอาจแพ้ไข่แมงดาทะเลอย่างรุนแรงซึ่งอาจทำให้มีอาการบวมตามตัว หายใจไม่ออกเป็นต้น อาหารประเภทหมักดอง เช่น ผักกาดดอง เต้าเจี้ยว น้ำปลา เป็นต้น เด็กบางคนอาจแพ้เห็ดซึ่งจัดว่าเป็นราขนาดใหญ่ เด็กบางคนแพ้ไข่ขาว อาจทำให้เกิดอาการผื่นคันบนใบหน้าได้ บางคนอาจจะแพ้ผลไม้จำพวกที่มีรสเปรี้ยวจัด กลิ่นฉุนจัด เช่น ทุเรียน ลำไย กล้วยหอม สตรอเบอรี่ และอื่น ๆ
ยาแก้อักเสบ
ยาที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้บ่อย ๆ นั้นได้แก่ ยาปฎิชีวนะ พวกเพนนิซฺลิน เตตราไวคลิน นอกจากนั้นยังมีพวกซัลฟา ยาลดไข้แก้ปวดพวกแอสไพริน ไดไพโรน ยาระงับปวดข้อปวดกระดูก อาจทำให้เกิดลมพิษผื่นคันของผิวหน้า เซรุ่มหรือวัคซีนเป็นกันโรคโดยเฉพาะวัคซีนสกัดจากเลือดม้า เช่น เซรุ่มต้านพิษงู แพ้พิษสุนัขบ้า เป็นต้น
แมลงต่าง ๆ
แมลงที่มักอาศัยอยู่ภายในบ้าน เช่น แมลงสาบ แมงมุม มด ยุง ปลวก และแมลงที่อาศัยอยู่นอกบ้าน เช่น ผึ้ง แตน ต่อ มดนานาชนิด เป็นต้น
 เกสรดอกหญ้า ดอกไม้ ตอกข้าว วัชพืช
                สิ่งเหล่านี้มักปลิวอยู่ในอากาศตามกระแสลม ซึ่งสามารถพัดลอยไปได้ไกล ๆ หรืออาจเป็นลักษณะ ขุย ๆ ติดตามมุ้งลวดหน้าต่าง เกสรดอกหญ้าที่ปลิวมาตามสายลม
ขนสัตว์
ขนของสัตว์เลี้ยงเป็นต้นเหตุของโรคภูมิแพ้ เช่น ขนแมว ขนสุนัข ขนนก ขนเป็ด ขนไก่ ขนกระต่าง ขนนกหรือขนเป็ด ขนไก่ที่ตากแห้งใช้ยัดที่นอนและหมอน สำหรับนุ่น ฟองน้ำ ยางพารา ใยมะพร้าว เมื่อใช้ไปเป็นระยะเวลานานก็จะสามารถเป็นสารก่อภูมิแพ้ได้เช่นกัน
 การสอบประวัติและวิเคราะห์โรค
                แพทย์จะทำการสอบถามประวัติและอาการของโรค พร้อมทั้งวิเคราะห์สภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัว เช่น บ้าน รถยนต์ โรงเรียน สัตว์เลี้ยง งานอดิเรก เพื่อเป็นแนวทางที่จะทราบว่าผู้ป่วยมีอาการ ณ สถานที่ใดได้บ้าง
ทดสอบทางผิวหนัง
แพทย์จึงใช้วิธีทดสอบทางผิวหนัง ( Skin Tests ) ซึ่งวิธีนี้จะนำเอาน้ำสกัดของสารก่อภูมิแพ้ทางอ้อม โดยนำน้ำสกัดของสารก่อภูมิแพ้ มาหยอดลงบนผิวหนังบริเวณท้องแขนซึ่งทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์ น้ำสกัดนั้นมาจากสารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อย ๆ เช่น ฝุ่นบ้าน ไรฝุ่น เชื้อราในบรรยากาศ แมลงต่าง ๆ ในบ้าน เช่น แมลงสาบ ยุง เกสรดอกไม้ และอื่น ๆ เมื่อหยอดน้ำสกัดบนท้องแขนแล้ว ใช้ปลายเข็มที่สะอาดกดลงบนผิวหนังเพื่อให้น้ำยาซึมซับลงไป แล้วทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ตุ่มใดที่ผู้ป่วยแพ้ ก็จะเป็นรอยนูนคล้ายรอยยุงกัด แพทย์จะทำการวัดรอยนูนและรอยแดงของแต่ละตุ่มที่ปรากฏซึ่งทำให้ทราบได้ทันทีว่าเจ้าตัวเล็กแพ้สารใดบ้าง ตุ่มใดที่ไม่แพ้ก็จะไม่มีรอยนูนแดง สำหรับวิธีทดสอบทางผิวหนังทำได้ตั้งแต่เจ้าตัวเล็กอายุได้ไม่กี่เดือนจนถึงเป็นผู้ใหญ่
หมายเหตุ ก่อนที่ผู้ป่วยจะทำการทดสอบ ต้องหยุดรับประทานยาแก้แพ้จำพวกยาด้านฮิสตามีนก่อนการทดสอบอย่างน้อย 48 ชั่วโมง มิฉะนั้นฤทธิ์ยาแก้แพ้จะไปบดบัง ทำให้หาสาเหตุของโรคภูมิแพ้ไม่พบ
 วิธีการรักษาโรคภูมิแพ้
โรคภูมิแพ้อาจเกิดขึ้นได้กับทุกระบบของร่างกาย บางคนอาจมีอาการภูมิแพ้ในระบบใดระบบหนึ่ง หรือหลายระบบ โรคภูมิแพ้นั้นเป็นโรคที่สามารถพิสูจน์หาสาเหตุของโรคและสามารถรักษาให้หายได้ ผู้ป่วยบางคนเริ่มจากอาการแพ้อากาศเรื้อรัง เยื่อจมูกอักเสบ เมื่อไม่ได้ใส่ใจรักษา ต่อมาอาจกลายเป็นโรคหอบหืด โรคผื่นคันผิวหนัง เช่น เป็นลมพิษ ปวดศีรษะเรื้อรัง โรคอ่อนเพลียต่าง ๆ เป็นต้น บางคนเชื่อว่า ถ้าเด็กเป็นโรคหอบหืดตั้งแต่เล็กพอโตขึ้นอาจหายไปเองได้และไม่จำเป็นต้องรักษาอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องนัก  เพราะโรคนี้อาจทำให้เค้าเจริญเติบโตช้า การปรับตัวเข้ากับสังคมเพื่อน ๆ และสภาพแวดล้อมได้ไม่ดี เกิดปมด้อย เจ้าตัวเล็กอาจขาดความมั่นใน ส่วนเด็กที่แพ้อากาศ ถ้าไม่รักษาต่อมาก็อาจกลายเป็น โรคหอบหืดที่มีอาการของโรคแรงขึ้นเรื่อย ๆ ได้ หากคุณพ่อคุณแม่สงสัยว่าเจ้าตัวเล็กนั้นเป็นโรคภูมิแพ้ คุณควรจะนำเค้าไปปรึกษาแพทย์ เพื่อหาว่าเค้าแพ้อะไรบ้าง การดูแลรักษาเค้า ในเบื้องต้นนั้นทำได้โดยการพยายามหลีกเลี่ยงสารที่เค้าแพ้ครับ ซึ่งจะทำให้อาการของโรคนั้นลดลงหรือหมดไปได้ ปัจจุบันยารักษาโรคภูมิแพ้ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยนั้นมีหลายประเภท ทั้งยารับประทาน ยาสูดเข้าหลอดลม ยาพ่นจมูก ยาหยอดตา และยาทาผิวหนัง
หาต้นเหตุและหลีกเลี่ยงสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้
วิธีรักษาโรคภูมิแพ้ทีดีที่สุดคือการค้นหาสาเหตุของการแพ้นั้นให้พบ เช่น การสอบถามประวัติและอาการของโรค พร้อมทั้งวิเคราะห์สภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัว เช่น บ้าน รถยนต์ โรงเรียน สัตว์เลี้ยง งานอดิเรก ตรวจร่างกายและทดสอบทางผิวหนัง เมื่อทราบว่าแพ้สารใดแล้ว ควรหลีกเลี่ยงสารที่ให้เกิดภูมิแพ้ที่ถูกต้องและอาการของโรคภูมิแพ้ก็จะทุเลา
ในทางปฏิบัตินั้นการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้นั้นทำได้ยาก เพราะชีวิตประจำวันนั้นต้องเผชิญกับสารก่อภูมิแพ้กระจายอยู่รอบ ๆ ตัว เช่นฝุ่นบ้าน ไรฝุ่น เชื้อรา และอื่น ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้การรักษาอาการของโรคอันเป็นปัญหาเฉพาะหน้าจึงเป็นสิ่งจำเป็นและได้มักจะได้ผลดี แพทย์อาจให้รับประทานยาแพ้แพ้ แก้หอบ แก้ไอร่วมด้วย เป็นต้น
ฉีดวัคซีนให้ร่างกายเกิดภูมิต้านทาน
                มีวิธีการรักษาโรคภูมิแพ้อีกประการหนึ่งที่เป็นการรักษาได้ผลดีพอสมควร ได้แก่การหาสาเหตุของโรคภูมิแพ้ให้พบแล้วนำสารก่อภูมิแพ้ที่ตรวจพบนี้นำมาผลิตวัคซีนให้ผู้ป่วย เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานสารที่แพ้ ( อิมมูโนบำบัด ) คือ รักษาให้ร่างกายเกิดภูมิต้านทานสารที่แพ้ หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การรักษาเพื่อ ลดภูมิไว คือให้ร่างกายลดความไวต่อสารที่ก่อให้เกิดโรค
โรคเกาท์
เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ ที่มีอาการปวดข้อเรื้อรัง พบได้ไม่น้อย พบในผู้ชายมากกว่า ผู้หญิงประมาณ 9-10 เท่า ส่วนมากจะพบในผู้ชายอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป ส่วนผู้หญิงพบได้น้อย ถ้าพบมักจะเป็นหลังวัยหมดประจำเดือน เป็นโรคที่มีทาง รักษาให้หายได้ แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษา อาจมีภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้
 อาการ
มีอาการปวดข้อรุนแรง ซึ่งเกิดขึ้นฉับพลันทันที ข้อจะบวมและเจ็บมากจนเดินไม่ไหว ผิวหนังในบริเวณนั้นจะตึง ร้อนและแดง จากนั้นผิวหนังในบริเวณที่ปวดจะลอกและคัน มักมีอาการปวดตอนกลางคืน และมักจะเป็นหลังดื่มเหล้าหรือเบียร์ (ทำให้ไตขับกรดยูริกได้น้อยลง) ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษา ในระยะแรก ๆ อาจกำเริบทุก 1-2 ปี โดยเป็นที่ข้อเดิม แต่ต่อมาจะเป็นถี่ขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ทุก 4-6 เดือน แล้วเป็นทุก 2-3 เดือน จนกระทั่งทุกเดือน หรือเดือนละหลายครั้งและระยะการปวดจะนานวันขึ้นเรื่อย ๆ เช่น กลายเป็น 7-14 วัน จนกระทั่งหลายสัปดาห์หรือปวดตลอดเวลา ส่วนข้อที่ปวดก็จะเพิ่มจากข้อเดียวเป็น 2-3 ข้อ (เช่น ข้อมือ ข้อศอก ข้อเข่า ข้อเท้า นิ้วมือนิ้วเท้า) จนกระทั่งเป็นเกือบทุกข้อ ในระยะหลัง เมื่อข้ออักเสบหลายข้อ ผู้ป่วยมักสังเกตว่ามีปุ่มก้อนขึ้นที่บริเวณที่เคยอักเสบบ่อย ๆ เช่นข้อนิ้วเท้า ข้อนิ้วมือ ข้อศอก ข้อเข่า รวมทั้งที่หูเรียกว่า ตุ่มโทฟัส (tophus/tophi) ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของสารยูริก ปุ่มก้อนนี้จะโตขึ้นเรื่อย ๆ จนบางครั้งแตกออกมีสารขาว ๆ คล้ายช็อล์ก หรือยาสีฟันไหลออกมา กลายเป็นแผลเรื้อรัง หายช้า ในที่สุดข้อต่าง ๆ จะค่อย ๆ พิการและใช้งานไม่ได้
 สาเหตุ
เกิดจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ทำให้มีกรดยูริกคั่งอยู่ในร่างกายมากผิดปกติ ซึ่งจะตกผลึกสะสมอยู่ตาม ข้อ ผิวหนัง ไตและอวัยวะอื่น ๆ ทำให้เกิดอาการปวด บวม แดง ร้อน และอาจมีสาเหตุจากร่างกายมีการสลายตัวของเซลล์มากเกินไป เช่น โรคทาลัสซีเมีย, มะเร็งในเม็ดเลือดขาว , การใช้ยารักษามะเร็งหรือฉายรังสี เป็นต้น หรือ อาจเกิดจากไตขับกรดยูริกได้น้อยลงเช่น ภาวะไตวาย ตะกั่วเป็นพิษ , ผลจากการใช้ยาไทอาไซด์ เป็นต้น
คำแนะนำ
1. ดื่มน้ำสะอาดมากๆ ช่วยป้องกันการสะสมผลึกกรดยูริกซึ่งอาจทำให้เกิดนิ่วในไต
2. กินผัก ผลไม้มากขึ้น เช่น ส้ม กล้วย องุ่น ซึ่งจะช่วยให้ปัสสาวะมีภาวะเป็นด่าง และกรดยูริกถูกขับออกมากขึ้น
3. ทานผักใบเขียวที่มีธาตุเหล็กสูง เพื่อทดแทนธาตุเหล็กที่ขาดเนื่องจากการงดทานเนื้อสัตว์
4. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
5. งดอาหารที่มีสารพิวรินสูง ได้แก่ เครื่องในสัตว์ น้ำซุปเนื้อสัตว์ กุ้ง หอย ปู ปลาซาร์ดีน กะปิ ซึ่งจะทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงขึ้น
6. จำกัดอาหารที่มีไขมันสูง เพราะอาจกระตุ้นให้อาการกำเริบได้ ควรงดเครื่องดื่มพวกโกโก ช็อคโกแลต ควรทานนมพร่องมันเนย
7. ยาบางชนิดอาจมีผลต่อการรักษาโรคนี้ เช่น แอสไพริน หรือยาขับปัสสาวะ ไทอาไซด์ อาจทำให้ร่างกายขับกรดยูริกได้น้อยลง ดังนั้นจึงไม่ควรซื้อยากินเอง ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนจะใช้ยา
โรคไมเกรน
เป็นโรคที่เกิดจากการบีบตัว และคลายตัวของหลอดเลือดในสมองมากกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะขึ้นอย่างรุนแรง และรวดเร็ว พร้อมกับมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ในบางรายอาจมีอาการตาพร่ามัว หรือเห็นแสงระยิบระยับร่วมด้วย พบมากในช่วงอายุ 10-30 ปี โดยเฉพาะผู้หญิง มักเป็นมากกว่าผู้ชาย
อาการ
1. ปวดศีรษะครึ่งซีก อาจเป็นบริเวณขมับหรือท้ายทอยแต่บางครั้งก็อาจเป็นสองข้างพร้อมกันหรือสลับข้างกันได้
2. ลักษณะการปวดศีรษะส่วนมากมักจะปวดตุ๊บ ๆ นานครั้งหนึ่งเกิน 20 นาที ผู้ป่วยบางรายอาจมีปวดตื้อ ๆ สลับกับปวดตุ๊บ ๆ ในสมองก็ได้
3. อาการปวดศีรษะมักเป็นรุนแรง และส่วนมากจะคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วยเสมอ โดยอาจเป็นขณะปวดศีรษะก่อนหรือหลังปวดศีรษะก็ได้
4. อาการนำจะเป็นอาการทางสายตาโดยจะมีอาการนำมาก่อนปวดศีรษะราว 10-20 นาที เช่น เห็นแสงเป็นเส้น ๆ ระยิบระยับ แสงจ้าสะท้อน หรือเห็นภาพบิดเบี้ยวก่อนปวด
สาเหตุ
1. สาเหตุที่อยู่ภายในร่างกาย เช่น พันธุกรรม ความเครียด สาเหตุเหล่านี้ไม่สามารถจะป้องกันหรือหลีกเลี่ยงได้
2. สาเหตุที่มาจากภายนอกร่างกาย สามารถที่จะป้องกันหรือหลีกเลี่ยงได้ เป็นปัจจัยส่งเสริมทำให้เกิดโรคขึ้น ได้แก่ การอดนอน หรือการทำงานหนักมากเกินไป ขาดการพักผ่อน หรือมีความเครียด การดื่มเหล้า กาแฟ ยาคุมกำเนิด (บางคนเป็น และเมื่อหยุดยาคุม ก็จะลดอาการปวดศีรษะไมเกรนได้) อาหารบางชนิดจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเคมีในสมอง เพื่อกระตุ้นเส้นเลือดในสมองหดตัว และขยายตัว ทำให้มีอาการปวดหัวได้ อาหารเหล่านี้ ได้แก่ กล้วยหอม ช็อคโคแลต เนยแข็ง เบียร์ ไวน์
คำแนะนำ
1. การนอนไม่พอ การอดนอน
2. การดื่มสุรามากเกินไป จะทำให้ปวดไมเกรนมากขึ้น แต่ถ้าปวดศีรษะแบบตึงเครียด อาการปวดจะบรรเทาลงด้วยการดื่มเหล้า
3. การตรากตรำทำงานมากเกินไป ทำให้ต้องอดอาหารบางมื้อ รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา ทำให้น้ำตาลในกระแสเลือดต่ำ อาการปวดศีรษะไมเกรนจะเป็นได้ง่ายขึ้น
4. การตื่นเต้นมาก ๆ โดยเฉพาะในเด็กที่ไปงานเลี้ยง
5. การเล่นกีฬาที่หักโหมจนเหนื่อยอ่อน แต่ถ้าเล่นกีฬาเบา ๆ จะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย
6. การมองแสงที่มีความจ้ามาก ๆ เช่น แสงอาทิตย์ที่รุนแรง แสงที่กระพริบมาก ๆ เช่น ไฟนีออนที่เสีย หรือแสงระยิบระยับ ในดิสโก้เทค
7. เสียงดัง
8. กลิ่นน้ำหอมบางชนิด กลิ่นซิการ์ กลิ่นสารเคมีบางอย่าง กลิ่นท่อไอเสียรถยนต์
9. อาหารบางชนิด
10. อากาศร้อนจัด อากาศเย็นจัด
11. ในระหว่างที่มีอาการปวดศีรษะไมเกรน ควรจะนอนพักผ่อนในห้องที่เงียบ รับประทานยาแก้ปวดธรรมดา ถ้ามียานอนหลับก็รับประทานยาให้ หลับ หรือกดเส้นเลือดที่กำลังเต้นอยู่ที่ขมับข้างที่ปวดศีรษะ ก็จะช่วยลดอาการปวดศีรษะได้ หรืออาจจะใช้น้ำแข็งประคบ
โรคสมองเสื่อม
โรคสมองเสื่อม (DEMENTIA ) เป็นคำที่เรียกใช้กลุ่มอาการต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นจากการทำงานของสมองที่เสื่อมลง อาการที่พบได้บ่อย คือ ในด้านที่เกี่ยวกับความจำ ุ การใช้ความคิด และการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ นอกจากนี้ยังพบว่า มีการเปลี่ยนแปลงของบุคลิกภาพร่วมด้วยได้ เช่น หงุดหงิดง่าย ุ เฉื่อยชา หรือเมินเฉย เป็นต้น การเสื่อมของสมองนี้ จะเป็นไปอย่างต่อเนื่องเรื่อยๆ ซึ่งในที่สุดก็จะส่งผลกระทบต่อ การดำรงชีวิตประจำวัน ทั้งในด้านอาชีพการงาน และชีวิตส่วนตัว โรคสมองเสื่อมไม่ใช่ภาวะปกติของคนที่มีอายุ ในบางครั้งเวลาที่เรามีอายุมากขึ้น เราอาจมีอาการหลงๆ ลืมๆ ได้บ้าง แต่อาการหลงลืมในโรคสมองเสื่อมนั้น จะมีลักษณะที่แตกต่างออกไป กล่าวคือ อาการหลงลืมจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมากขึ้นเรื่อยๆ และจะจำเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ได้เลย ไม่เพียงแต่จำรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ได้เท่านั้น คนที่เป็นโรคสมองเสื่อมจะจำเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ได้เลย รวมทั้งสิ่งที่ตัวเองกระทำเองลงไปด้วย และถ้าเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ คนผู้นั้นอาจจำไม่ได้ว่าใส่เสื้ออย่างไร อาบน้ำอย่างไร หรือแม้กระทั่งไม่สามารถพูดได้เป็นประโยค
อะไรคือสาเหตุของโรคสมองเสื่อม
                อาการต่างๆ ของโรคสมองเสื่อมเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โรคอัลไซเมอร์ ( Alzheimer ) นั้นเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย ที่สุด คือ ประมาณร้อยละ 70 ของผู้ป่วยด้วยโรคสมองเสื่อม ส่วนโรคสมองเสื่อมจากเส้นเลือดในสมอง ( Vascular dementia ) นั้น เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยรองลงมา นอกจากนี้สาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดสมองเสื่อมที่พบได้
คือ โรค Parkinson , Frontal Lobe Dementia , จาก alcohol และจาก AIDS เป็นต้น
 ใครจะป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมได้บ้าง
                โรคสมองเสื่อมสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศและทุกวัย แต่จะพบได้น้อยมากในคนที่อายุน้อยกว่า 40 ปี ส่วนใหญ่แล้วมักจะพบในคนสูงอายุ แต่พึงตระหนักไว้ว่า โรคสมองเสื่อมนั้นไม่ใช่สภาวะปกติของ ผู้ที่มีอายุมาก เพียงแต่เมื่ออายุมากขึ้น ก็มีโอกาสที่จะป่วยเป็นโรคได้มากขึ้น โดยคร่าวๆ นั้นประมาณ 1 ใน 1000 ของคนที่อายุน้อยกว่า 65 ปี จะมีโอกาสป่วยเป็นโรคนี้ได้ ประมาณ 1 ใน 70 ของคนที่อายุระหว่าง 65-70 ปี ุ 1 ใน 25 ของคนที่มีอายุระหว่าง 70-80 ปี และ 1 ใน 5 ของคนที่มีอายุมากกว่า 80 ปีขึ้นไป จะมีโอกาสป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมนี้ได โดยประมาณร้อยละ 70 ของผู้ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมนั้น มีสาเหตุมาจากโรคอัลไซเมอร์ ( Alzheimer's Disease )
ความสำคัญในการตรวจร่างกาย
เนื่องจากสาเหตุของโรคสมองเสื่อมนั้น มีมากมายหลายสาเหตุ ดังนั้นการพบแพทย์เพื่อรับการปรึกษา และตรวจร่างกายจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะนอกจากจะทำให้ทราบว่า เราป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมหรือไม่แล้ว ยังทำให้พอทราบได้ว่า สาเหตุนั้นมาจากอะไร ซึ่งจะมีผลต่อแนวทางการรักษาต่อไป
โรคมะเร็ง
มะเร็ง คือ กลุ่มของโรคที่เกิดเนื่องจากเซลล์ของร่างกายมีความผิดปกติ ที่ DNA หรือสารพันธุกรรม ส่งผลให้เซลล์มีการเจริญเติบโต มีการแบ่งตัวเพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ รวดเร็ว และมากกว่าปกติ ดังนั้น จึงอาจทำให้เกิดก้อนเนื้อผิดปกติ และในที่สุดก็จะ ทำให้เกิดการตายของเซลล์ในก้อนเนื้อนั้น เนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยง เพราะการ เจริญเติบโตของหลอดเลือด ถ้าเซลล์พวกนี้เกิดอยู่ในอวัยวะใดก็จะ เรียกชื่อ มะเร็ง ตามอวัยวะนั้นเช่น มะเร็งปอด มะเร็งสมอง มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็ง เม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และมะเร็งผิวหนัง เป็นต้น
โรคมะเร็งที่พบมากที่สุดในเพศชาย 10 อันดับแรก คือ
 มะเร็งตับ 8,189 ราย
มะเร็งปอด 5,500 ราย
มะเร็งลำไส้ใหญ่ 2,191 ราย
มะเร็ง ช่องปาก 1,094 ราย
มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ 1,057 ราย
มะเร็งกระเพาะอาหาร 1,041 ราย
มะเร็ง เม็ดเลือดขาว 891 ราย
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง 881 ราย
มะเร็งหลังโพรงจมูก 855 ราย
มะเร็งหลอดอาหาร 748 ราย
โรคมะเร็งที่พบมากที่สุดในเพศหญิง 10 อันดับแรก
 มะเร็งปากมดลูก 5,462 ราย
มะเร็งเต้านม 4,223 ราย
มะเร็งตับ 3,679 ราย
มะเร็งปอด 2,608 ราย
มะเร็งลำไส้ใหญ่ 1,789 ราย
มะเร็งรังไข่ 1,252 ราย
มะเร็งช่องปาก 953 ราย
มะเร็งต่อมธัยรอยด์ 885 ราย
มะเร็งกระเพาะอาหาร 723 ราย
มะเร็งคอมดลูก 703 ราย
สาเหตุ
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง แบ่งออกเป็น 2 ประเภทที่สำคัญ คือ
1. เกิดจากสิ่งแวดล้อมหรือภายนอกร่างกาย ซึ่งปัจจุบันนี้เชื่อกันว่ามะเร็ง ส่วน ใหญ่ เกิดจากสาเหตุได้แก่สารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อนในอาหารและเครื่องดื่ม เช่น สารพิษจาก เชื้อรา ที่มีชื่อ อัลฟาทอกซิน (Alfatoxin) สารก่อมะเร็งที่เกิดจากการปิ้ง ย่าง พวกไฮโดคาร์บอน (Hydrocarbon) สารเคมีที่ใช้ในขบวนการถนอม อาหาร ชื่อไนโตรซามิน (Nitosamine) สีผสมอาหารที่มาจากสีย้อมผ้า  รังสีเอ็กซเรย์ อุลตราไวโอเลตจากแสงแดดเชื้อไวรัส  ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสฮิวแมนแพบพิลโลมา การติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ จากพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การสูบบุหรี่และดื่มสุรา เป็นต้น
2. เกิดจากความผิดปกติภายในร่างกาย ซึ่งมีเป็นส่วนน้อย เช่น เด็กที่มีความ พิการ มาแต่ กำเนิดมีโอกาสเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นต้น การมีภูมิคุ้มกันที่บกพร่องและภาวะ ทุพโภชนาการ เช่น การขาดไวตามินบางชนิด เช่น ไวตามินเอ ซี เป็นต้น จะเห็นว่า มะเร็งส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากสิ่งแวดล้อม ดังนั้น มะเร็งก็น่าจะเป็นโรคที่สามารถ ป้องกันได้ เช่นเดียวกับโรคติดเชื้ออื่นๆ (Hill R.P,Tannock IF,1987) ถ้าประชาชนมี ความรู้เกี่ยวกับสาร ก่อมะเร็ง และสารช่วยหรือให้เกิดมะเร็งที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมแล้ว พยายาม หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารเหล่านั้น เช่น งดสูบบุหรี่ หรือหลีกเลี่ยงจากบริเวณ ที่มีควันบุหรี่ เป็นต้น สำหรับสาเหตุภายในร่างกายนั้นการป้องกันคงไม่ได้ผลแต่ทำให้ ทราบว่า ตนเองจัดอยู่ในกลุ่มที่มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็น มะเร็งสูงหรือมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ดังนั้นก็ควรไปพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับความรู้เรื่องมะเร็งต่อไป กรณีที่เป็น มะเร็ง ได้ตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก ซึ่งจะมีการตอบสนองต่อการ รักษาค่อนข้างดี
อาการ
1. ไม่มีอาการใดเลยในช่วงแรกขณะที่ร่างกายมีเซลล์มะเร็งเป็นจำนวนน้อย
2. มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งตามสัญญาณอันตราย 8 ประการ ที่เป็นสัญญาณ เตือน ว่าควรไปพบแพทย์ เพื่อการตรวจค้นหาโรคมะเร็ง หรือสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำ ให้มีสัญญาณ เหล่านี้ เพื่อการรักษาและแก้ไขทางการแพทย์ที่ถูกต้องก่อนที่จะกลายเป็นโรคมะเร็ง หรือเป็นมะเร็งระยะลุกลาม
3. มีอาการป่วยของโรคทั่วไป เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ร่างกาย ทรุดโทรม ไม่สดชื่น และไม่แจ่มใส
4. มีอาการที่บ่งบอกว่า มะเร็งอยู่ในระยะลุกลาม หรือเป็นมาก ขึ้นอยู่กับว่าเป็น มะเร็งชนิดใดและมีการกระจายของโรคอยู่ที่ส่วนใดของร่างกายที่สำคัญที่สุด ของอาการในกลุ่ม นี้ ได้แก่ อาการเจ็บปวด ที่แสนทุกข์ทรมาน
คำแนะนำ
1. รับประทานผักตระกูลกะหล่ำให้มาก เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักคะน้า หัวผักกาด บร็อคโคลี่ ฯลฯ
2.รับประทานอาหารที่มีกากมากเช่น ผัก ผลไม้ ข้าว ข้าวโพด และเมล็ดธัญพืชอื่นๆ
3.รับประทานอาหารที่มีเบต้า- แคโรทีน และ ไวตามินเอ สูงเช่น ผัก ผลไม้สีเขียว-เหลือง
4. รับประทานอาหารที่มีไวตามินซีสูง เช่น ผัก ผลไม้ต่าง ๆ
5. ควบคุมน้ำหนักตัว
6.ไม่รับประทานอาหารที่มีราขึ้น
7. ลดอาหารไขมัน
8.ลดอาหารดองเค็ม อาหารปิ้ง-ย่าง รมควัน และอาหารที่ถนอมด้วยเกลือไนเตรท- ไนไตร์ท
9.ไม่รับประทานอาหารสุกๆ ดิบ ๆ เช่น ก้อยปลา ปลาจ่อม ฯลฯ
10.หยุดหรือลดการสูบบุหรี่
11.ลดการดื่มแอลกอฮอล์
12. อย่าตากแดดจัดมากเกินไป จะเสี่ยงต่อการเกิด มะเร็งผิวหนัง
โรคไต
หมายถึง โรคอะไรก็ได้ที่มีความผิดปกติหรือที่เรียกว่า พยาธิสภาพ เกิดที่บริเวณไต ที่พบมากได้แก่ โรคไตวายฉับพลันจากเหตุต่างๆ โรคไตวายเรื้อรังเกิดตามหลังโรคเบาหวาน โรคไตอักเสบ หรือโรคความดันโลหิตสูง
โรคไตอักเสบเนโฟรติก โรคไตอักเสบจากภาวะภูมิคุ้มกันสับสน (โรคเอส.แอล.อี.) โรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ โรคถุงน้ำที่ไต (Polycystic Kidney Disease)
อาการ
ปัสสาวะเป็นเลือด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโรคไต แต่ก็อาจจะไม่ใช่ก็ได้ โดยจะปัสสาวะเป็นเลือด อาจเป็นเลือดสดๆ เลือดเป็นลิ่มๆ ปัสสาวะเป็นสีแดง สีน้ำ ล้างเนื้อ สีชาแก่ๆ หรือปัสสาวะเป็นสีเหลืองเข้มก็ได้ ปัสสาวะเป็นฟองมาก เพราะมีalbumin หรือโปรตีนออกมามาก จะทำให้ปัสสาวะมีฟองขาวๆ เหมือนฟองสบู่ การมีปัสสาวะเป็นเลือด พร้อมกับมีไข่ขาว-โปรตีนออกมาในปัสสาวะพร้อมๆกัน เป็นข้อสันนิษฐานที่มีน้ำหนักมากว่าจะเป็นโรคไต ปัสสาวะขุ่น อาจเกิดจากมี เม็ดเลือดแดง (ปัสสาวะเป็นเลือด) เม็ดเลือดขาว(มีการอักเสบ) มีเชื้อแบคทีเรีย (แสดงว่ามีการติดเชื้อ) หรืออาจเกิดจากสิ่งที่ ร่างกายขับออกจากไต แต่ละลายได้ไม่ดี เช่นพวกผลึกคริสตัลต่างๆ เป็นต้น
 การผิดปกติของการถ่ายปัสสาวะ เช่นการถ่ายปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะแสบ ปัสสาวะราด เบ่งปัสสาวะ อาการเหล่านี้ล้วนเป็นอาการผิดปกติของระบบทาง เดินปัสสาวะ เช่นกระเพาะปัสสาวะ ต่อมลูกหมากและท่อทางเดินปัสสาวะ
 การปวดท้องอย่างรุนแรง (colicky pain) ร่วมกับการมีปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะขุ่น หรือมีกรวดทราย แสดงว่าเป็นนิ่วในไตและทางเดินปัสสาวะ
 การมีก้อนบริเวณไต หรือบริเวณบั้นเอวทั้ง 2 ข้าง อาจเป็น โรคไตเป็นถุงน้ำการอุดตันของไต หรือเนื้องอกของไต
การปวดหลัง ในกรณีที่เป็นกรวยไตอักเสบ จะมีอาการไข้หนาวสั่นและปวดหลังบริเวณไตคือบริเวณสันหลังใต้ซี่โครงซีกสุดท้าย
อาการบวม โดยเฉพาะการบวมที่บริเวณหนังตาในตอนเช้า หรือหน้าบวม ซึ่งถ้าเป็นมากจะมีอาการบวมทั่วตัว อาจเกิดได้ในโรคไตหลายชนิด แต่ที่พบได้บ่อย โรคไตอักเสบชนิดเนฟโฟรติค ซินโดรม (Nephrotic Syndrome)
ความดันโลหิตสูง เนื่องจากไตสร้างสารควบคุมความดันโลหิต ประกอบกับไต มีหน้าที่รักษาสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย เพราะฉะนั้นความดันโลหิต สูงอาจเป็นจากโรคไตโดยตรง หรือในระยะไตวายมากๆความดันโลหิตก็จะสูง ได้


ซีดหรือโลหิตจาง เช่นเดียวกับความดันโลหิตสูง สาเหตุของโลหิตจางมีได้ หลายชนิด แต่สาเหตุที่เกี่ยวกับโรคไตก็คือ โรคไตวายเรื้อรัง (Chronic renal failure) เนื่องจากปกติไตจะสร้างสารอีริโธรโปอีติน (Erythopoietin) เพื่อไป กระตุ้นให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดง เมื่อเกิดไตวายเรื้อรังไตจะไม่สามารถ สร้างสารอีริโธรโปอีติน (Erythopoietin) ไปกระตุ้นไขกระดูก ทำให้ซีดหรือ โลหิตจาง มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หน้ามือ เป็นลมบ่อยๆ
อย่างไรก็ตามควรต้องไปพบแพทย์ ทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ตรวจปัสสาวะ ตรวจเลือด เอ็กซ์เรย์ จึงจะพอบอกได้แน่นอนขึ้นว่าเป็นโรคไตหรือไม่
 สาเหตุ
เป็นมาแต่กำเนิด (Congenital) เช่นมีไตข้างเดียวหรือไตมีขนาดไม่เท่ากัน โรคไตเป็นถุงน้ำ (Polycystic kidney disease) ซึ่งเป็น กรรมพันธุ์ด้วย เป็นต้น
เกิดจากการอักเสบ (Inflammation) เช่นโรคของกลุ่มเลือดฝอยของไตอักเสบ (glomerulonephritis)
เกิดจากการติดเชื้อ (Infection) เกิดจากเชื้อแบคที่เรียเป็นส่วนใหญ่ เช่นกรวยไตอักเสบ ไตเป็นหนอง กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (จากเชื้อ โรค) เป็นต้น
เกิดจากการอุดตัน (Obstruction) เช่นจากนิ่ว ต่อมลูกหมากโต มะเร็งมดลูกไปกดท่อไต เป็นต้น
เนื้องอกของไต ซึ่งมีได้หลายชนิด
 คำแนะนำ
1. กินอาหารโปรตีนต่ำ หรืออาหารโปรตีนต่ำมากร่วมกับกรดอะมิโนจำเป็น โดยกินอาหารที่มีโปรตีนคุณภาพสูง ซึ่งหมายถึงโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ทุกชนิดจำนวน 0.6 กรัม ของโปรตีน / น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม / วัน โดยไม่ต้องให้กรดอะมิโนจำเป็นหรือกรดคีโต (Keto Acid) เสริม เพราะอาหารโปรตีนในขนาดดังกล่าวข้างต้นให้กรดอมิโนจำเป็นในปริมาณที่พอเพียงกับความต้องการของร่างกายอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยซึ่งมีน้ำหนักตัวเฉลี่ย ประมาณ 50-60 กิโลกรัม ควรกินอาหารที่มีปริมาณโปรตีนสูงประมาณ 30-60 กรัม / วัน อาจจำกัดอาหารโปรตีนเพื่อชะลอการเสื่อมหน้าที่ของไตได้อีกวิธีหนึ่งโดยให้ผุ้ป่วยกินอาหารโปรตีนต่ำมาก (0.4 กรัม / น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม / วัน) ร่วมกับกรดอะมิโนจำเป็นหรืออนุพันธ์คีโต (Keto Analog) ของกรดอะมิโนจำเป็น ในกรณีผู้ป่วยมีน้ำหนักเฉลี่ยน 50-60 กิโลกรัม ควรกินโปรตีนประมาณ 20-25 กรัม / วัน เสริมด้วยกรดอะมิโนจำเป็น หรืออนุพันธ์ครีโตของกรดอะมิโนจำเป็น 10-12 กรัม / วัน
 2. กินอาหารที่มีโคเลสเตอรอลต่ำ โดยผุ้ป่วยที่เป็นโรคไตวายเรื้อรังควรควบคุมปริมาณโคเลสเตอรอลในอาหารแต่ละวันไม่ให้เกิน 300 มิลลิกรัม / วัน ด้วยการจำกัดอาหารที่มีโคเลสเตอรอลมาก เช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ทุกชนิด และนม เป็นต้น
 3. งดกินอาหารที่มีฟอสเฟตสูง ฟอสเฟตมักพบในอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ไข่แดง นม และเมล็ดพืชต่างๆ เช่น ถั่วลิสง เม็ดทานตะวัน เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดอัลมอนด์ ควรหลีกเลี่ยงอาหารดังกล่าว พบว่าอาหารที่มีฟอสเฟตสูง จะเร่งการเสื่อมของโรคไตวายเรื้อรังให้รุนแรงมากขึ้น และมีความรุนแรงของการมีโปรตีนรั่วทางปัสสาวะมากขึ้น นอกเหนือจากผลเสียต่อระบบกระดูกดังกล่าวข้างต้น
 4. ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังที่ไม่มีอาการบวม การกินเกลือในปริมาณไม่มากนัก โดยไม่ต้องถึงกับงดเกลือโดยสิ้นเชิง แต่ไม่ควรกินเกลือเพื่อการปรุงรสเพิ่ม ผู้ป่วยที่มีอาการบวกร่วมด้วย ควรจำกัดปริมาณเกลือที่กินต่อวันให้น้อยกว่า 3 กรัมของน้ำหนักเกลือแกง (เกลือโซเดียมคลอไรด์) ต่อวัน ซึ่งทำได้โดยกินอาหารที่มีรสชาดจืด งดอาหารที่มีปริมาณเกลือมาก ได้แก่ เนื้อสัตว์ทำเค็ม หรือหวานเค็ม เช่น เนื้อเค็ม ปลาแห้ง กุ้งแห้ง รวมถึงหมูแฮม หมูเบคอน ไส้กรอก ปลาริวกิว หมูสวรรค์ หมูหยอง หมูแผ่น ปลาส้ม ปลาเจ่า เต้าเจี้ยว งดอาหารบรรจุกระป๋อง เช่น ปลากระป๋อง เนื้อกระป๋อง
 5. ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังที่มีน้ำหนักเกินน้ำหนักจริงที่ควรเป็น (Ideal Weight for Height) ในคนปกติ ควรจำกัดปริมาณแคลอรีให้พอเพียงในแต่ละวันเท่านั้น คือ ประมาณ 30-35 กิโลแคลอรี / น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม / วัน
โรคหัวใจ
ชนิดและสาเหตุของโรคหัวใจ
โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ความผิดปกตินี้อาจเกิดขึ้นกับทุกส่วนของหัวใจ เช่น หลอดเลือดหัวใจ ลิ้นหัวใจ ผนังกั้นห้องหัวใจ หรือ ตัวห้องหัวใจเอง มีสภาพไม่สมบูรณ์
โรคลิ้นหัวใจ ลิ้นหัวใจพิการอาจเป็นแต่กำเนิดหรือมาเป็นภายหลังได้ ที่มาเป็นภายหลังส่วนมากเกิดจากการติดเชื้อคออักเสบ และไม่ได้รับการรักษา อย่างถูกต้อง ร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อต้านหัวใจตัวเอง เกิดการอักเสบของลิ้นหัวใจ และ เกิดลิ้นหัวใจพิการ (ตีบ รั่ว) ตามมา นอกจากนั้นลิ้นหัวใจพิการยัง อาจเกิดจากการติดเชื้อที่หัวใจโดยตรง หรือเกิดจากการเสื่อมของลิ้นหัวใจเอง โดยมากแล้วเราสามารถผ่าตัดแก้ไขได้
โรคกล้ามเนื้อหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติไม่ว่าจะบีบ หรือ คลายตัว กล้ามเนื้อหัวใจหนากว่าปกติ เป็นต้น โรคที่พบบ่อย คือ กล้ามเนื้อหัวใจเสีย เนื่องจากความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการรักษามานาน กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือ กล้ามเนื้อหัวใจตาย บางส่วน เนื่องจากหลอดเลือดหัวใจตีบหรือตัน เป็นต้น
โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหัวใจขาดเลือด เป็นโรคกลุ่มเดียวกัน เพราะหลอดเลือดหัวใจจะนำเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ เมื่อหลอดเลือด ผิดปกติจะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด การทำงานจึงผิดปกติ โรคของหลอดเลือดหัวใจอาจเกิดจากหลายสาเหตุ แต่ที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากการสะสม ของไขมันที่ผนัง ทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบและตันในที่สุด (ไม่ใช่มีก้อนไขมันในเลือดลอย ไปอุดตัน ตามที่เข้าใจกัน)
โรคเยื่อหุ้มหัวใจ เป็นโรคที่พบไม่บ่อย ส่วนใหญ่เกิดการอักเสบจากการติดเชื้อไวรัส หรือ แบคทีเรีย หรือ เชื้อวัณโรค โรคนี้ส่วนใหญ่รักษาได้ ยกเว้นกรณีที่มะเร็งแพร่กระจายมายังเยื่อหุ้มหัวใจ
โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ กลุ่มนี้มีหลายชนิดมาก บางชนิดไม่เป็นอันตราย บางชนิดอันตรายมาก (ส่วนใหญ่ของกลุ่มที่ร้ายแรง มักมีความผิดปกติ ของกล้ามเนื้อหัวใจ หลอดเลือดหัวใจด้วย) สาเหตุเกิดจากระบบไฟฟ้าในหัวใจทำงานผิดปกติไป เช่น มีจุดกำเนิด ไฟฟ้าแปลกปลอมขึ้น หรือ เกิดทางลัด (เรียกง่ายๆว่า ไฟช็อต) ในระบบ เป็นต้น
การติดเชื้อที่หัวใจ พบได้บ่อยในผู้ป่วยภูมิต้านทานต่ำ หรือ ติดยาเสพติดชนิดฉีด โดยมากเกิดการติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจ ซึ่งจะเป็นปัญหาในการรักษา อย่างมาก โรคหัวใจในผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV ก็เป็นอีกกลุ่มที่มีลักษณะของโรคหลากหลายมาก
อาการ
เจ็บหน้าอก
1. เจ็บแน่นๆ อึดอัด บริเวณกลางหน้าอก อาจจะเป็นด้านซ้าย หรือ ทั้งสองด้าน (มักจะไม่เป็นด้านขวาด้านเดียว) บางรายจะร้าวไป ที่แขนซ้าย หรือ ทั้งสองข้าง หรือ จุกแน่นที่คอ บางรายเจ็บบริเวณกรามคล้ายเจ็บฟัน เกิดขึ้นขณะออกกำลัง เช่น เดินเร็วๆ รีบ หรือ ขึ้นบันได วิ่ง โกรธโมโห อาการดังกล่าวจะดีขึ้นเมื่อหยุดออกกำลัง
2. เจ็บแหลมๆคล้ายเข็มแทง เจ็บแปล๊บๆ เจ็บจุดเดียว กดเจ็บบริเวณหน้าอก
อาการหอบ เหนื่อยง่าย เวลาออกแรง
ใจสั่น หมายถึง การที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ผิดจังหวะ หรือ เต้นไม่สม่ำเสมอ เต้นๆหยุดๆ
ขาบวม เกิดจากการที่หัวใจด้านขวาทำงานลดลง เลือดจากขาไม่สามารถ ไหลเทเข้าหัวใจด้านขวาได้โดยสะดวก จึงมีเลือดค้างอยู่ที่ขามากขึ้น
เป็นลม วูบ หมายถึง การหมดสติ หรือ เกือบหมดสติ ชั่วขณะ โดยอาจรู้สึกหน้ามืด จะเป็นลม ตาลาย มองไม่เห็นภาพชัดเจน โดยอาการเป็นอยู่ชั่วขณะ
 คำแนะนำ
1. หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง
2. หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม
3. เน้นอาหารที่มีเส้นใย (fiber)
4. เลิกบุหรี่
5. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
6. ควบคุมเบาหวานและความดันโลหิตสูง
7. ทำจิตใจให้ผ่องใส
โรคกระดูกพรุน
คือภาวะที่เนื้อกระดูกของร่างกายลดลงอย่างมาก และเป็นผลให้โครงสร้างของกระดูกไม่แข็งแรง ทำให้ไม่สามารถรับน้ำหนักได้ดีเช่นเดิม โรคกระดูกพรุนเป็นโรคของผู้สูงอายุ โดยปกติร่างกายเราจะมีกระบวนสร้างและสลายกระดูก เกิดขึ้นตลอดเวลา เมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเกิน 40 ปี กระบวนสร้างจะ ไม่สามารถไล่ทันกระบวนสลายได้ นอกจากนั้น เมื่ออายุมากขึ้นการดูดซึมของทางเดินอาหาร จะเสื่อมลงทำให้ร่างกายต้องดึง สารแคลเซียมจากกระดูกมาใช้ ผลคือ ร่างกายต้องสูญเสียปริมาณเนื้อกระดูกมากขึ้น
 ภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน
       - หญิงวัยหมดประจำเดือน -- การขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนทำให้กระดูกสลายตัวในอัตราที่เร็วขึ้น
       - ผู้สูงอายุ
       - ชาวเอเซียและคนผิวขาว -- โรคกระดูกพรุนถ่ายทอดได้ทางกรรมพันธุ์ ตามสถิติพบว่า สองชนชาตินี้
         มีโอกาสเป็นโรคได้มากกว่าคนผิวดำ
       - รูปร่างเล็ก ผอม
       - รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมไม่เพียงพอ
       - ออกกำลังน้อยไป
       - สูบบุหรี่ ดื่มสุรา ชา กาแฟ
       - ใช้ยาบางชนิดที่มีผลต่อการสลายเซลล์กระดูก เช่น สเตียรอยด์
       - เป็นโรคเรื้อรัง เช่น ไขข้ออักเสบ โรคไต
       - รับประทานอาหารจำพวกโปรตีนและอาหารมีกากมากเกินไป
       - รับประทานอาหารเค็มจัด
อาการของโรคกระดูกพรุน
ระยะแรกมักไม่มีอาการ เมื่อเริ่มมีอาการแสดงว่าเป็นโรคมากแล้ว อาการสำคัญของโรค ได้แก่ ปวดตามกระดูกส่วนกลางที่รับน้ำหนัก เช่น กระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก และอาจมีอาการปวดข้อร่วมด้วย ต่อมาความสูงของลำตัวจะค่อยๆลดลง หลังจะโก่งค่อมหากหลังโก่งค่อมมากๆจะ ทำให้ปวดหลังมากเสียบุคลิก เคลื่อนไหวลำบากระบบทางเดินหายใจและทางเดินอาหารถูกรบกวน เมื่อเป็นโรคติดเชื้อของทางเดินหายใจ จะหายยาก ระบบย่อยอาหารผิดปกติ ท้องอืดเฟ้อ และท้องผูกเป็นประจำ
โรคแทรกซ้อนที่อันตรายที่สุดของโรคกระดูกพรุน คือ กระดูกหัก บริเวณที่พบมาก ได้แก่ กระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก และกระดูกข้อมือ ซึ่งหากที่กระดูกสันหลังหัก จะทำให้เกิดอาการปวดมาก จนไม่สามารถ เคลื่อนไหว ไปไหนได้
การป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุน
วิธีที่ดีที่สุด คือ การเสริมสร้างเนื้อกระดูกของร่างกายให้มากที่สุดตั้งแต่อายุยังน้อย อย่างไรก็ตาม คนทุกวัยควรให้ความสนใจในการป้องกันโรคกระดูกพรุนด้วยการปฏิบัติตนดังนี้
                - รับประทานอาหารให้ครบทุกหมวดหมู่ตามหลักโภชนาการ
- รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม โยเกิร์ต กุ้งแห้งตัวเล็ก กุ้งฝอย
- ไม่รับประทานเนื้อสัตว์มากเกินไป
- เลี่ยงอาหารเค็มจัด
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นการสร้างกระดูก และทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง
                - การทรงตัวดี ป้องกันการหกล้มได้
- หลีกเลี่ยงบุหรี่ สุรา ชา กาแฟ
- เลี่ยงยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์
- ระมัดระวังตนเองไม่ให้หกล้ม
- การใช้ยาในการป้องกันและรักษาจะแตกต่างกันตามปัจจัยต่างๆในผู้ป่วยแต่ละราย เช่น อายุ เพศ
และระยะเวลาหลังการหมดประจำเดือน
การวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน
การวินิจฉัยโรคนี้ในระยะเริ่มแรก ทำได้โดยการตรวจความหนาแน่นของกระดูกด้วยเครื่องวัดความหนาแน่น ของกระดูก (BoneDensitometer) การตรวจนี้เป็นการตรวจโดยใช้แสงเอกซเรย์ที่มีปริมาณน้อยมากส่องตามจุดต่างๆ ที่ต้องการตรวจแล้วใช้คอมพิวเตอร ์คำนวณหาค่าความหนาแน่น ของกระดูกบริเวณต่างๆเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐาน สตรีอายุ 40 ปี ขึ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางรายที่มีความเสี่ยง ได้แก่ รูปร่างผอม ดื่มเหล้า กาแฟ สูบบุหรี่ ทานอาหารที่มีแคลเซียมน้อย ไม่ออกกำลังเป็นประจำ หรือ รับประทานยาสเตียรอยด์ ควรเข้ารับการตรวจความหนาแน่น ของกระดูกเป็นประจำทุกปี
อัมพฤกษ์ อัมพาต จากโรคหลอดเลือดในสมอง
โรคหลอดเลือดในสมองเป็นโรคที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตเป็นอันดับ 3 รองจากโรคหัวใจและมะเร็ง ซึ่งหากผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่มีชีวิตอยู่ก็มักจะมีความพิการหลงเหลืออยู่ ได้แก่ อัมพฤกษ์ อัมพาต นั่นเอง
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดในสมอง แบ่งเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ ปัจจัยเสี่ยงที่แก้ไขและควบคุมได้ มักสัมพันธ์กับผู้ป่วยที่เป็นความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และโรคหัวใจ ไขมันในเลือดสูง ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ผสมอยู่ ขาดการออกกำลังกาย สูบบุหรี่ ความเครียด ความอ้วน
                ปัจจัยเสี่ยงที่แก้ไขไม่ได้ ได้แก่ อายุ จากการศึกษาพบว่าโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมองจะมากขึ้น ตามอายุที่เพิ่มขึ้น เพศ เชื้อชาติ และกรรมพันธุ์
อาการเริ่มต้นของอัมพฤกษ์ ที่สังเกตได้และควรไปพบแพทย์ ดังนี้คือ
1. เกิดอาการชาหรือไม่มีแรง ตามใบหน้า แขน ขา ข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย
2. พูดไม่ได้ชั่วขณะ หรือลำบากในการพยายามพูด
3. ตาข้างใดข้างหนึ่งพร่ามัวไปชั่วขณะ
4. เวียนศีรษะโดยไม่มีสาเหตุหรือทรงตัวไม่ได้
โรคหลอดเลือดในสมองป้องกันได้โดยหลีกเลี่ยงและควบคุมปัจจัยเสี่ยงดังนี้ คือ
1. การรับประทานอาหารที่ถูกต้อง โดยรับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนและมีปริมาณเพียงพอ ลดอาหารเค็ม หรือเกลือมาก ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูงและหลอดเลือดแข็งได้ รับประทานอาหารที่มี กากใยสูงเป็นประจำ เช่น ผัก ผลไม้ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันมากโดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว เช่น มันหมู มันไก่ ไข่แดง และกะทิมะพร้าว รวมทั้งอาหารที่หวานจัดต่างๆ เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ระดับไขมันในเลือดสูงได้
2. งดสูบบุหรี่ เนื่องจากบุหรี่มีสารนิโคติน ซึ่งสารนี้จะทำให้หัวใจเต้นเร็วหลอดเลือดหดตัว ความดันโลหิตสูง ทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือด โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูง เบาหวาน และโรคหัวใจอยู่ก่อนแล้วจะทำให้ เกิดอันตรายได้
3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะช่วยคลายเครียด ลดไขมัน และลดความดันโลหิตนอกจากนี้ยังทำให้ สุขภาพแข็งแรงอีกด้วย
4. การควบคุมน้ำหนัก ความอ้วนเป็นสาเหตุของการเกิดโรคได้หลายอย่าง เช่น ไขมันในเลือดสูง ความดันสูง และทำให้เกิดโรคเบาหวานได้
5. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
6. ควรไปตรวจสุขภาพเป็นประจำ หากพบว่าท่านป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ
โรคโลหิตจาง
เป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับเฮโมโกลบินในเลือดต่ำกว่าปกติ พบได้ในทุกอายุและทั้งสองเพศ
อาการ
ถ้าเป็นน้อยๆอาจมีอาการเหนื่อยง่าย รู้สึกเพลียๆ แต่ถ้าเป็นรุนแรง จะมีอาการไม่มีแรง ซีดเซียว หัวใจเต้นเร็ว หายใจไม่ออก มึนงง เท้าบวม และปวดขา
สาเหตุ
1. เกิดจากการขาดธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของ ฮีโมโกลบิน (ทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจนไปตามกระแสเลือด) มักเกิดในกลุ่มเด็กวัยรุ่น
2. การสูญเสียเลือดมากๆในช่วงมีประจำเดือน
3. มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร
4. เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตก
5. เกิดภาวะผิดปกติในการสร้างเม็ดเลือดแดง
6. ร่างกายไม่ดูดซึม วิตามิน บี 12 ( pernicious anaemia )
คำแนะนำ
1. รับประทานเนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ตับสัตว์ เลือดสัตว์ ถั่วและผักใบเขียวเข้มเป็นแหล่งที่มีธาตุเหล็กมากที่สุด
2. รับประทานผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เพื่อให้ได้ วิตามิน ซี จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กจากพืชได้ดีขึ้น
3. งดการดื่มน้ำชาระหว่างมื้ออาหาร สารแทนนินที่มีอยู่ในน้ำชาจะไปขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็กได้
4. งดการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทรำสำเร็จรูปมากเกินไป เนื่องจากกรดไฟติกที่มีอยู่ในรำข้าวสาลี และข้าวกล้อง จะไปยับยั้งการดูดซึมธาตุเหล็กได้
โรคกระเพาะอาหาร
โรคกระเพาะเป็นโรคที่พบบ่อยโรคหนึ่ง บางท่านอาจเรียกโรคกระเพาะอาหาร เพราะอาการปวดท้องที่เป็นมักสัมพันธ์กับการรับประทานอาหาร ความหมายของโรคกระเพาะนั้น โดยทั่วไปหมายถึงโรคแผลในกระเพาะอาหาร แต่ที่จริงแล้วโรคกระเพาะยังหมายรวมถึงโรคแผลที่ลำไส้เล็ก, โรคกระเพาะอาหารอักเสบ และโรคลำไส้อักเสบอีกด้วย
สาเหตุของโรคกระเพาะอาหารนั้นมีมากมาย ซึ่งแต่ละสาเหตุจะทำให้เกิดภาวะที่มีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป เช่นการรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา การรับประทานยาแก้ปวดจำพวก Aspirin ในขณะท้องว่าง การรับประทานยาแก้อักเสบหรือแก้ปวดจำพวกยาที่ใช้กันในโรคกระดูกและข้อ การดื่มสุรา และการสูบบุหรี่ นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีการตรวจพบว่ามี bacteria ชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถอาศัยอยู่ในกระเพาะอาหารของคนเราได้ bacteria ตัวนี้พบว่ามีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะได้
 อาการโรคกระเพาะที่พบบ่อยคือ มีอาการปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ แต่บางคนอาจมีอาการแน่นท้องบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย ผลข้างเคียงของโรคกระเพาะที่มีอันตราย ได้แก่ อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ และกระเพาะอาหารที่เป็นแผลทะลุทำให้เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงได้
                ในกรณีที่ท่านมีอาการปวดท้องและสงสัยว่าจะเป็นโรคกระเพาะ ท่านควรรับคำปรึกษาจากแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ เนื่องจากสาเหตุของการปวดท้องมีมากมาย หากยังไม่มีความแน่ใจ ท่านควรไปพบแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์จะซักประวัติของท่านอย่างละเอียดมากยิ่งขึ้น มีการตรวจร่างกายเพื่อว่าจะหาสาเหตุที่แท้จริง แพทย์อาจให้การรักษาโดยให้ยาลดกรดในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็ก หรือในบางกรณีอาจมีการตรวจเพิ่มเติม โดยแพทย์อาจพิจารณาใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะอาหารหนือให้กลืนแป้งแล้วเอ็กซเรย์ เพื่อดูให้เห็นร่องรอยของแผลในกระเพาะอาหารหรือในลำไส้เล็กส่วนต้น จะทำให้การวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้องแม่นยำขึ้น
การรักษาที่สำคัญที่สุด ของโรคกระเพาะคือ การป้องกันไม่ให้เกิดโรคกระเพาะนั่นเอง โดยท่านต้องรับประทานให้ตามเวลา การหลีกเลี่ยงการดื่มสุรา การสูบบุหรี่และการระมัดระวังการรับประทานยาที่อาจมีผลต่อการทำให้มีกรดในกระเพาะอาหารมากยิ่งขึ้น ตลอดจนการระมัดระวังเรื่องความเครียด ความวิตกกังวล ซึ่งก็มีส่วนในการทำให้เกิดโรคแผลในกระเพาะอาหารได้ด้วยเช่นกัน
โรคผมร่วง
สาเหตุของผมร่วงมีหลายอย่างมาก ที่พบบ่อย ๆ เช่น
1. ผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia areate) ซึ่งจะร่วงเป็นวงกลม ๆ คล้ายเหรียญบาทหรือใหญ่กว่า
2. ผมร่วงหลังคลอด หรือไข้สูง (Telogen effluvin) พวกนี้ผมจะร่วงวันละเป็นร้อย ๆ เส้น เวลาจูงผมจะติดมือออกมาเลย
ทั้งข้อ 1 + 2 อาจจะหายเองได้ ดังนั้น จะมีคนไข้บางคนเข้าใจผิดว่า ใช้ยาทาตัวนั้น ตัวนี้ แล้วทำให้ผมขึ้นได้
(ซึ่งจริง ๆ แล้วผมมันขึ้นเอง)
สาเหตุของผมร่วมที่พบบ่อยอีกอย่างคือผมร่วงจากกรรมพันธุ์(Androgenetic alopecia) พวกนี้ จะถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์แต่จะไม่เกิดกับลูกหลานทุกคน (จะเป็นแต่บางคน) ผมร่วงลักษณะนี้เป็นได้ทั้งหญิงและชาย ผู้หญิงจะร่วงบริเวณกลางกระหม่อม ส่วนผู้ชาย จะร่วงบริเวณกลางกระหม่อมด้านหน้า (หัวเถิก)
 การรักษาผมร่วงจากกรรมพันธุ์ แบบเดิม ๆ ก็คือการใช้ยา Minoxidil กินและทา
การทาจะได้ผลเพียง 30% ส่วนการกินจะได้ผล 90% แต่ข้อเสียของการทานยา คือ เวลาหยุดยาแล้วผมจะร่วงเหมือนเดิมและการทาน ยานาน ๆ (6 เดือนขึ้นไป) จะมีอาการดื้อยา ผมจะร่วงได้ ทั้งๆ ที่รับประทานยาอยู่
ขณะนี้มียาตัวใหม่ ชื่อ Finasteride ซึ่งจะไปยับยั้ง enzyme ทำให้การผลิต Hormone เพศชาย Dilaydrotestosterone (DHT) ลดลง ซึ่งคิดกันว่าตัว DHT นี้แหละ เป็นสาเหตุของการทำให้ผู้ชายผมร่วง ถ้ามีมากเกินไป (ซึ่งผู้ชายที่ผมร่วงจากกรรมพันธุ์มักจะพบ Hormone DHT สูงกว่าปกติ)
แต่ข้อเสียของยาตัวนี้ก็คือ
1. ห้ามใช้ในผู้หญิง
2. อาจทำให้ความรู้สึกทางเพศลดลงได้
3. เวลาหยุดยา อาจทำให้ผมร่วง เหมือนยา Minoxidil ได้
สุดท้ายถ้าการกินยา และทายาไม่ได้ผล ก็ต้องทำศัลยกรรม โดยแพทย์ศัลยกรรมตกแต่ง ซึ่งจะย้ายเส้นผม
มาปลูกเป็นเส้น ๆ เลย ได้ผลดีทีเดียว แต่ค่าใช้จ่ายก็สูงพอสมควร
ส่วนการถักทอเส้นผมที่บางเต็มนั้น เทียบแล้ว เหมือนการใส่วิกนั่นแหละ
การฝังเข็ม และ ผลิตภัณฑ์จากรกแกะ ไม่น่าได้ผล
โรคข้อเข่าเสื่อม
อาการปวดที่เกิดขึ้นบริเวณข้อเข่า อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่ในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี มักเกิดจาก การเสื่อมสภาพตามธรรมชาติ ของกระดูก และ กระดูกอ่อนผิวข้อ
 อาการสำคัญ ของโรคข้อเข่าเสื่อม
 ปวดข้อเข่า รู้สึกเมื่อย ตึงที่น่องและข้อพับเข่า
รู้สึกว่าข้อเข่าขัด ๆ เคลื่อนไหวข้อได้ไม่เต็มที่
มีเสียงดังในข้อ เวลาขยับเคลื่อนไหวข้อเข่า
ข้อเข่าบวม มีน้ำในข้อ
เข่าคดผิดรูปร่าง หรือ เข่าโก่ง
 ซึ่งอาการเหล่านี้อาจจะพบบางข้อหรือหลายข้อพร้อมกันก็ได้ ในระยะแรก อาการเหล่านี้มักจะค่อยเป็นค่อยไปอย่างช้า ๆ และ เป็น ๆ หาย ๆ
 เมื่อโรคเป็นมากขึ้นก็จะมีอาการรุนแรงเพิ่มขึ้น เป็นบ่อยขึ้น และอาจจะมีอาการตลอดเวลา
 การเอ๊กซเรย์ ข้อเข่าก็จะพบว่ามี
 ช่องของข้อเข่าแคบลง
มีกระดูกงอกตามขอบของกระดูกเข่าและกระดูกสะบ้า
ข้อเข่าคดงอ ผิดรูป เข่าโก่ง
ซึ่งลักษณะที่พบนี้ ก็อาจพบได้ในข้อเข่าของผู้สูงอายุปกติทั่วไป โดยที่ไม่มีอาการเลยก็ได้
                ดังนั้นการจะบอกว่าเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมหรือไม่โดยส่วนใหญ่แล้วแพทย์สามารถบอกได้ จากประวัติของความเจ็บป่วย อาการ อาการแสดงที่เป็นอยู่ และ การตรวจร่างกาย โดยไม่จำเป็นต้องเอ๊กซเรย์ การเอ๊กซเรย์จะทำก็ต่อเมื่อแพทย์สงสัยว่าอาจจะเป็นโรคอื่น สงสัยว่าอาจจะมีภาวะแทรกซ้อน หรือ ในกรณีที่ต้องทำการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด
แนวทางรักษา มีอยู่หลายวิธี เช่น
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
ทำกายภาพบำบัด
การกินยาแก้ปวดลดการอักเสบ
การผ่าตัด เพื่อจัดแนวกระดูกใหม่
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม
ในปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมให้หายขาดได้ จุดมุ่งหมายในการรักษาทุกวิธีก็คือ ลดอาการปวด ทำให้เคลื่อนไหวข้อได้ดีขึ้น ป้องกันหรือแก้ไขการผิดรูปร่างของข้อ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตประจำวันหรือทำงานได้เป็นปกติ
การกินยาแก้ปวด หรือ การผ่าตัด ถือว่าเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ ถ้าผู้ป่วยยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตประจำวัน และ ไม่บริหารข้อเข่า ผลการรักษาก็จะไม่ดีเท่าที่ควร
วิธีการรักษาที่ได้ผลดี เสียค่าใช้จ่ายน้อย ทุกคนสามารถทำได้ด้วยตนเอง คือ
การลดน้ำหนัก
การบริหารข้อ และ
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตประจำวัน
ข้อแนะนำในการรักษาด้วยตนเอง ดังนี้
1 ลดน้ำหนักตัว เพราะเมื่อเดินจะมีน้ำหนักลงที่เข่าแต่ละข้างประมาณ 3 เท่าของน้ำหนักตัว แต่ถ้าวิ่ง น้ำหนักจะลงที่เข่าเพิ่มเป็น 5 เท่าของน้ำหนักตัว ดังนั้น ถ้าลดน้ำหนักตัวได้ ก็จะทำให้เข่าแบกรับน้ำหนักน้อยลง การเสื่อมของเข่าก็จะช้าลงด้วย
2 ท่านั่ง ควรนั่งบนเก้าอี้ที่สูงระดับเข่า ซึ่งเมื่อนั่งห้อยขาแล้วฝ่าเท้าจะวางราบกับพื้นพอดี ไม่ควร นั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ นั่งคุกเข่า นั่งยอง ๆ หรือนั่งราบบนพื้น เพราะท่านั่งดังกล่าวจะทำให้ ผิวข้อเข่าเสียดสีกันมากขึ้น ข้อเข่าก็จะเสื่อมเร็วขึ้น
3 เวลาเข้าห้องน้ำ ควรนั่งถ่ายบนโถนั่งชักโครก หรือ ใช้เก้าอี้ที่มีรูต้องกลาง วางไว้เหนือ คอห่าน ไม่ควรนั่งยอง ๆ เพราะทำให้ผิวข้อเข่าเสียดสีกันมาก และเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงขา ถูกกดทับ เลือดจะไปเลี้ยงขาได้ไม่ดี ทำให้ขาชา และมีอาการอ่อนแรงได้ ควรทำที่จับยึดบริเวณด้านข้างโถนั่งหรือใช้เชือก ห้อยจากเพดานเหนือโถนั่ง เพื่อใช้จับพยุงตัว เวลาจะลงนั่งหรือจะลุกขึ้นยืน
4 นอนบนเตียง ซึ่งมีความสูงระดับเข่า ซึ่งเมื่อนั่งห้อยขาที่ขอบเตียงแล้วฝ่าเท้าจะแตะพื้นพอดี ไม่ควรนอนราบบนพื้นเพราะต้องงอเข่าเวลาจะนอนหรือจะลุกขึ้น ทำให้ผิวข้อเสียดสีกันมากขึ้น
5 หลีกเลี่ยงการขึ้นลงบันได
6 หลีกเลี่ยงการยืนหรือ นั่งในท่าเดียวนาน ๆ ถ้าจำเป็นก็ให้ขยับเปลี่ยนท่าหรือขยับเหยียด-งอข้อเข่า เป็นช่วง ๆ
7 การยืน ควรยืนตรง ให้น้ำหนักตัวลงบนขาทั้งสองข้างเท่า ๆ กัน ไม่ควรยืนเอียงลงน้ำหนักตัวบนขาข้างใดข้างหนึ่ง เพราะจะทำให้เข่าที่รับน้ำหนักมากกว่าเกิดอาการปวด และข้อเข่าโก่งผิดรูปได้
8 การเดิน ควรเดินบนพื้นราบ ใส่รองเท้าแบบมีส้นเตี้ย(สูงไม่เกิน 1 นิ้ว) หรือ แบบที่ไม่มีส้นรองเท้า พื้นรองเท้านุ่มพอสมควร และ มีขนาดที่พอเหมาะเวลาสวมรองเท้าเดินแล้วรู้สึกว่ากระชับพอดี ไม่หลวมหรือคับเกินไป ไม่ควร เดินบนพื้นที่ไม่เสมอกันเช่น บันได ทางลาดเอียงที่ชันมาก หรือทางเดินที่ขรุขระเพราะจะทำให้น้ำหนักตัวที่ลงไปที่เข่าเพิ่มมากขึ้น และอาจจะเกิดอุบัติเหตุหกล้มได้ง่าย
9 ควรใช้ไม้เท้า เมื่อจะยืนหรือเดิน โดยเฉพาะ ผู้ที่มีอาการปวดมากหรือมีข้อเข่าโก่งผิดรูป เพื่อช่วยลดน้ำหนักตัวที่ลงบนข้อเข่าและช่วยพยุงตัวเมื่อจะล้ม แต่ก็มีผู้ป่วยที่ไม่ยอมใช้ไม้เท้า โดยบอกว่า รู้สึกอายที่ต้องถือไม้เท้า และไม่สะดวก ทำให้เกิดผลเสียตามมาคือ ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น และ เสี่ยงต่ออุบัติเหตุหกล้ม
สำหรับวิธีการถือไม้เท้านั้น ถ้าปวดเข่ามาก ข้างเดียวให้ถือไม้เท้าในมือด้านตรงข้ามกับเข่าที่ปวด แต่ถ้าปวดเข่าทั้งสองข้างให้ถือในมือข้างที่ถนัด
 10 บริหารกล้ามเนื้อรอบ ๆ ข้อเข่า ให้แข็งแรง เพื่อช่วยให้การเคลื่อนไหวของข้อได้ดีขึ้น และสามารถทรงตัวได้ดีขึ้นเวลายืน หรือ เดิน การออกกำลังกายควรเป็นการออกกำลังกายที่ไม่ต้องมีการลงน้ำหนักที่เข่ามากนัก เช่น การเดิน การขี่จักรยาน การว่ายน้ำ เป็นต้น
โรคข้อเข่าเสื่อมรักษาไม่หายขาด แต่ก็มีวิธีที่ทำให้อาการดีขึ้นและชะลอความเสื่อม ให้ช้าลง ทำให้ท่านสามารถดำเนินชีวิตอยู่ด้วยคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งจะทำได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ ความตั้งใจของท่านเองเป็นสำคัญ
โรคความดันโลหิตสูง
โรคความดันโลหิตสูง หรือ โรคแรงดันเลือดสูง ภาษาอังกฤษเรียก Hypertension ภาษาชาวบ้านเรียกง่ายๆว่าโรคความดันซึ่งเป็นโรคที่รู้จักกันมาก โรคหนึ่ง แต่เชื่อไหมครับ จากการศึกษาพบว่าชาวอเมริกันร้อยละ 68.4 เท่านั้นที่ทราบว่าตัวเองมี ความดันโลหิตสูง และมีเพียงร้อยละ 53.6 ที่รับการรักษา และในกลุ่มนี้มีเพียงร้อยละ 27.4 ที่สามารถควบคุมความดันโลหิตได้ดี นั่นเป็นสถิติต่างประเทศ สำหรับบ้านเรายังล้าหลังเรื่องข้อมูลพวกนี้อยู่มาก ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้คงช่วยให้ผู้อ่านมีความเข้าใจ และ เห็นความสำคัญของการรักษาความดันโลหิตสูงมากขึ้น
 ความดันโลหิตคืออะไร
                ลองนึกภาพสายยางรดน้ำต้นไม้ มีน้ำไหลเป็นจังหวะการปิดเปิดของก๊อก เมื่อเปิดน้ำเต็มที่ น้ำไหลผ่านสายยาง ย่อมทำให้เกิดแรง ดันน้ำขึ้นในสายยางนั้น และเมื่อปิดหรือหรี่ก๊อก น้ำไหลน้อยลง แรงดันในสายยางก็ลดลงด้วย ระบบหัวใจและหลอดเลือด ก็เป็น ระบบไหลเวียนของเลือดทั่วร่างกาย โดยมีหัวใจ ทำหน้าที่คล้ายก๊อก หรือ ปั๊มน้ำ คอยสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย เลือดไหลแรงดี ความดันก็ดี หากหัวใจบีบตัวไม่ดี เลือดไหลอ่อน ความดันก็ลดลง นอกจาก นั้นแล้วความดันในหลอดเลือดยังขึ้นกับสภาพของ หลอดเลือดด้วย หากหลอดเลือดมีความยืดหยุ่นดี จะปรับความดันได้ดี ไม่ให้สูงเกินไป แต่หาก หลอดเลือดเสียความยืดหยุ่น หรือ แข็งตัว ก็จะทำให้ความดันเปลี่ยนแปลงไปด้วย
                ค่าความดันโลหิตจะมีสองค่าเสมอ เรียกว่าตัวบนและตัวล่างค่าแรกเป็นความดันโลหิตในหลอดเลือดที่เกิดขึ้นขณะที่หัวใจ บีบตัว ไล่เลือดออก จากหัวใจ ส่วนตัวล่างคือความดันของเลือดที่ยังค้างอยู่ในหลอดเลือดขณะที่หัวใจคลายตัว ผู้ป่วยความดัน โลหิตสูงควรจำค่าทั้งสองไว้ เพราะมีความสำคัญ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
ความดันโลหิตเท่าไรเรียกว่าปกติ
                ปัจจุบันความดันโลหิตที่เรียกว่าเหมาะสมในผู้ที่อายุมากกว่า 18 ปี คือ ตัวบนไม่เกิน 120 มม.ปรอท และตัวล่างไม่เกิน 80 มม.ปรอท เรียกสั้นๆว่า 120/80 ความดันโลหิตที่อยู่ในเกณฑ์ปกติคือ ต่ำกว่า 130/85 มม.ปรอท ความดันโลหิตสูงเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ 130-139/85-89 มม.ปรอท จะเรียกได้ว่ามีความดันโลหิตสูงเมื่อ ความดันโลหิตตัวบนมากกว่า (หรือเท่ากับ) 140 และตัวล่างมากกว่า (หรือเท่ากับ) 90 มม.ปรอท อย่างไรก็ตามก่อน ที่จะเรียกว่าผู้ป่วยมีความดันโลหิตสูงได้นั้น แพทย์จะต้องวัดซ้ำหลายๆครั้ง หลังจากให้ผู้ป่วยพักแล้ว วัดซ้ำจนกว่าจะแน่ใจว่าสูงจริง และที่สำคัญเทคนิค การวัดต้องถูกต้องด้วย
การวัดความดันโลหิตที่ถูกต้องเป็นอย่างไร
เครื่องมือที่ใช้วัดความดันโลหิตที่เป็นมาตรฐานคือผ้าที่มีถุงลมพันที่แขน และ ใช้ปรอท ในขณะวัดความดันโลหิตผู้ถูกวัดความดัน โลหิตควรจะอยู่ ในท่านั่งสบายๆ วัดหลังจากนั่งพักแล้ว 5 นาที ไม่วัดหลังจากดื่มกาแฟ หรือ สูบบุหรี่ ขนาดของผ้าพันแขนก็ต้อง เหมาะสมกับแขนผู้ถูกวัดด้วย หากอ้วนมากแล้วใช้ผ้าพันแขนขนาดปกติ ค่าที่ได้จะสูงกว่าความเป็นจริง การปล่อยลมออกจาก ที่พันแขนก็มีความสำคัญอย่างมาก และ เป็นที่ละเลย กันมากที่สุด คือจะต้องปล่อยลมออกช้าๆ ไม่ใช่ปล่อยพรวดพราดดังที่เห็น หลายๆแห่งทำอยู่ การทำเช่นนั้นทำให้ได้ค่าที่ผิดไปจากความเป็นจริงมาก เครื่องวัดความดันก็ต้องได้มาตรฐาน ไม่ใช่เครื่องเก่า มากหรือมีลมรั่ว เป็นต้น ตำแหน่งของเครื่องวัดก็ควรอยู่ระดับเดียวกับหัวใจ และต้องวัดซ้ำๆ เพื่อหาค่าเฉลี่ย
ปัจจุบันมีเครื่องมือที่ออกแบบมาให้วัดความดันโลหิตได้ง่ายและสะดวกขึ้น โดยผู้วัดไม่จำเป็นต้องมีความรู้เลย เพียงแค่ใส่ถ่าน พันแขนและกดปุ่ม เครื่องจะวัดให้เสร็จ อ่านค่าเป็นตัวเลข เครื่องแบบนี้มีขายตามศูนย์การค้าทั่วไป โดยทั่วไปแล้วใช้งานได้ดี (แบบพันแขน) แต่ก็ต้องนำเครื่องมา ตรวจสอบความถูกต้องเป็นครั้งคราว ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงควรมีเครื่องชนิดนี้ไว้วัดที่บ้านด้วย ในอนาคตเครื่องวัดความดันโลหิตแบบปรอทอาจจะเลิกใช้ ส่วนหนึ่งเนื่องจากผลทางสิ่งแวดล้อม(ปรอทเป็นสารอันตราย) และ อีกเหตุผลหนึ่งคือใช้เทคนิคมากในการวัดให้ถูกต้อง
ข้อที่ควรทราบบางประการเกี่ยวกับความดันโลหิต
ประการแรกคือความดันโลหิตเป็นค่าไม่คงที่ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทุกวินาที จึงไม่แปลกที่วัดซ้ำในเวลาที่ใกล้เคียงกัน แล้วได้คนละค่า แต่ก็ไม่ควรจะแตกต่างกันนัก ความดันโลหิตยังขึ้นกับท่าของผู้ถูกวัดด้วย ท่านอนความดันโลหิตมักจะสูงกว่าท่ายืน นอกจากนั้นแล้ว ยังขึ้นกับ สิ่งกระตุ้นต่างๆ เช่น อาหาร บุหรี่ อากาศ กิจกรรมที่ทำอยู่ รวมทั้งจิตใจด้วย
ประการต่อมาคือภาวะความดันโลหิตสูงปลอม หมายความว่าจริงๆแล้วผู้ป่วยไม่ได้มีความดันโลหิตสูง แต่ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบ เมื่อมาวัดความดันโลหิต ที่คลินิกแพทย์หรือโรงพยาบาล จะวัดได้สูงกว่าปกติทุกครั้ง แต่เมื่อวัดโดยเครื่องวัดความดันโลหิต 24 ชั่วโมงหรือวัดด้วยเครื่องอิเลคโทรนิคเองที่บ้าน กลับพบว่าความดันปกติ เรียกภาวะเช่นนี้ว่า White coat hypertension หรือ Isolated clinic hypertension กลุ่มนี้มีอันตรายน้อยกว่าความดันโลหิตสูงจริงๆ
 ความดันโลหิตสูงเกิดจากอะไร และ มีอาการอย่างไร
    จนถึงปัจจุบันนี้ความดันโลหิตสูงก็ยังเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุเป็นส่วนใหญ่ มีหลายปัจจัยมาเกี่ยวข้องทั้งพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม เช่น อาหารรสเค็ม เชื้อชาติ ส่วนน้อยเกิด (น้อยกว่าร้อยละ 5) จากความผิดปกติของหลอดเลือด ไตวาย หรือ เนื้องอกบางชนิด ความดันโลหิตสูงได้ชื่อว่าเป็นฆาตกรเงียบ เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการผิดปกติ ไม่ทราบว่าตัวเองมีความดันโลหิตสูง หรือ แม้จะทราบแต่ละเลยไม่สนใจรักษาเพราะรู้สึกปกติ สบายดี ทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่างๆตามมาภายหลัง ผู้ป่วยส่วนน้อยที่มี อาการปวดศีรษะ มึนศีรษะ
ข้อควรทราบเกี่ยวกับการรักษาความดันโลหิตสูง
     ความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุ การรับประทานยาเป็นเพียงการรักษาที่ปลายเหตุ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องรักษาตลอดไป หากหยุดยา ความดันโลหิตอาจกลับมาสูงอีกได้ เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการผิดปกติ แม้ความดันโลหิตจะสูงมากๆก็ตาม ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้อาการมาพิจารณาว่า วันนี้จะรับประทานยา หรือไม่ เช่น วันนี้สบายดีจะไม่รับประทานยาเช่นนั้นไม่ได้
การรักษาความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติตลอดเวลาเป็นระยะเวลานาน จะช่วยลดโอกาสเกิดโรคแทรกทางสมอง หัวใจ ไต และหลอดเลือดได้
 การรักษาแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ การไม่ใช้ยา กับการใช้ยา การไม่ใช้ยาหมายถึงการลดน้ำหนัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดบุหรี่ และหลีกเลี่ยงอาหารเค็ม ในผู้ป่วยที่ความดันโลหิตสูงเล็กน้อย อาจเริ่มการรักษาโดยไม่ใช้ยา แต่หากมีปัจจัยเสี่ยงในการเกิด โรคหัวใจอยู่ด้วยก็อาจจำเป็นต้องใช้ยาร่วมด้วย
ปัจจุบันมียาลดความดันโลหิตอยู่หลายกลุ่ม กลไกการออกฤทธิ์แตกต่างกันไป ราคาก็ต่างกันมาก ตั้งเม็ดละ 50 สตางค์ ถึง 50 บาท ยาลดความดัน โลหิตที่ดี ควรจะออกฤทธิ์ช้าๆ ไม่ทำให้ความดันโลหิตแกว่งขึ้นลงมากจนเกินไป สามารถควบคุมความดัน โลหิตได้ดีตลอด 24 ชั่วโมง โดยการรับประทาน เพียงวันละ 1 ครั้ง มีผลแทรกซ้อนน้อย แต่น่าเสียดายว่ายังไม่มียาใดที่วิเศษ ขนาดนั้น ยาทุกตัวล้วนก็มีข้อดี ข้อด้อย และ ผลแทรกซ้อนทั้งสิ้น อย่าลืมว่า การปล่อยให้ ความดันโลหิตสูงอยู่นานๆ ก็เป็นผลเสีย ร้ายแรงเช่นกัน จึงควรติดตามการรักษาโดยการวัดความดันโลหิตสม่ำเสมอ ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง หากมี ผลแทรกซ้อน ควรปรึกษาแพทย์ท่านเดิมเพื่อปรับเปลี่ยนยา ไม่ควรเปลี่ยนแพทย์ไปเรื่อยๆ เพราะทำให้การรักษาไม่ต่อเนื่อง
การรักษาความดันโลหิตสูงในผู้ป่วยสูงอายุเป็นเรื่องที่สำคัญ และจำเป็นต้องรักษา แต่ต้องรักษาด้วยความระมัด ระวังอย่างยิ่ง เนื่องจากหากลด ความดันโลหิตมากเกินไป ก็อาจเกิดผลเสียขึ้นได้
                นอกจากการรับประทานยาแล้ว การควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำจิตใจให้ผ่องใส งดอาหารเค็ม ก็จะช่วยให้ ควบคุมความดันโลหิต ได้ดียิ่งขึ้น
โรคความดันโลหิตต่ำเป็นอย่างไร รักษาโดยดื่มเบียร์จริงหรือ
ความจริงแล้วไม่มีโรคความดันต่ำมีแต่ภาวะความดันโลหิตต่ำที่เกิดขึ้นเนื่องจากร่างกายขาดสารน้ำ เช่น ท้องเสีย อาเจียน เสียเลือด อากาศร้อนจัด หรือจากยาบางชนิด ความดันโลหิตที่วัดได้ 90/60 มม.ปรอท ไม่ได้หมายความว่าเป็นความดันโลหิต ที่ต่ำกว่าปกติ คนจำนวนมากมีความดันโลหิตขนาดนี้ โดยไม่มีอาการผิดปกติ อาการหน้ามืด เวียนศีรษะบ่อยๆ ที่คนส่วนใหญ่ คิดว่าเป็นจาก "ความดันต่ำ" นั้น อาจเกิดจากหลายสาเหตุ มักจะเกิดจากการ ขาดการออกกำลังกาย มากกว่าที่จะเกิดจากภาวะ ความดันโลหิตต่ำ การรักษาภาวะความดันโลหิตต่ำ ต้องรักษาที่สาเหตุ ไม่ใช่การดื่มเบียร์อย่างที่เข้าใจกัน

โรคเอดส์
โรคเอดส์ มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Acquired Immune Deficiency Syndrome มีชื่อโดยย่อว่า AIDS = เอดส์
โรคเอดส์ คือ โรคที่ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่องจนไม่สามารถต่อสู้เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ง่ายกว่าคนปกติ ขณะนี้โรคเอดส์กำลังระบาดในทวีปอเมริกา ยุโรป อัฟริกา แคนนาดา โรคนี้ได้ติดต่อมาถึงบางประเทศในเอเชีย รวมทั้งประเทศไทย
โรคเอดส์เกิดจากอะไร
โรคเอดส์เกิดจากเชื้อไวรัส มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Human Immunodeficiency Virus (HIV)
โรคเอดส์เป็นกับใครบ้าง
โรคเอดส์ส่วนใหญ่ที่พบในประเทศไทย มักเกิดในพวกรักร่วมเพศ ชายที่เปลี่ยนคู่บ่อย ๆ ปัจจุบันพบว่าเกิดในพวกรักต่างเพศได้ โดยเฉพาะในเพศชายที่ชอบเที่ยวโสเภณี
 โรคเอดส์ติดต่อกันได้อย่างไร
                โรคเอดส์ติดต่อกันได้หลายทาง แต่ที่สำคัญ และพบบ่อย ได้แก่
- การร่วมเพศกับผู้ป่วยโรคเอดส์ หรือมีเชื้อโรคเอดส์
- การรับถ่ายเลือดจากผู้ป่วยโรคเอดส์ หรือมีเชื้อโรคเอดส์
- การใช้เข็มฉีดยาที่ไม่สะอาด หรือร่วมกับผู้ป่วยโรคเอดส์
- จากแม่ที่ตั้งครรภ์ป่วยเป็นโรคเอดส์ ติดต่อไปถึงลูกที่อยู่ในครรภ์
- โรคเอดส์ไม่ติดต่อโดยการเล่นด้วยกัน รับประทานอาหารร่วมกัน เรียนร่วมกัน ไปเที่ยวด้วยกัน หรืออยู่ในครัวเรือนเดียวกัน หากไม่มีความเกี่ยวข้องทางเพศ
อาการของโรค
                หลังจากได้รับเชื้อโรคเอดส์เข้าไปในร่างกายแล้ว จะมีระยะฟักตัวประมาณ 2-3 เดือน จึงตรวจพบเลือดบวกต่อโรคเอดส์ ผู้ที่ติดเชื้อไม่จำเป็นต้องมีอาการทุกคน ระยะฟักตัวก่อนมีอาการแตกต่างกันมากจาก 2-3 เดือน ถึง 5-6 ปี ประมาณกันว่า 25-30% ของผู้ที่ติดเชื้อจะแสดงอาการภายใน 5 ปี อีก 70% จะไม่มีอาการ แต่จะเป็นพาหะของโรค และแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้
อาการที่พบในผู้ป่วยโรคเอดส์
- อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
- มีไข้นานเป็นเดือน ๆ
- ต่อมน้ำเหลืองโต
- ท้องเดินเรื้อรังจากโรคพยาธิ
- มีแผลในปาก และตามผิวหนัง
- มีอาการทางสมอง เช่น ชัก อัมพาต
- โรคติดเชื้อต่าง ๆ โดยเฉพาะปอดบวมจากพยาธิ เชื้อรา วัณโรค ฯลฯ
- มะเร็งของต่อมน้ำเหลือง เม็ดเลือด และสมอง ฯลฯ
 การวินิจฉัย
โรคเอดส์วินิจฉัยได้จากอาการข้างต้น ประกอบกับการตรวจเลือดบวกต่อโรคเอดส์ วิธีการตรวจเลือดมี 2 วิธี
วิธีแรกเรียกว่า Elisa ถ้าพบว่าเลือดบวก จะตรวจยืนยันโดยวิธี Western Blot การตรวจเลือดนี้ไม่จำเป็นต้องทำในคนทั่วไป แต่ควรตรวจในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคนี้สูง ซึ่งได้แก่พวกรักร่วมเพศ ผู้หญิง และชายบริการ ผู้ที่ได้รับการถ่ายเลือดบ่อย ๆ ผู้ติดยาทางเส้นเลือด
 การรักษา
                ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคเอดส์ให้หายขาดได้ การรักษาจึงเป็นการรักษาโรคติดเชื้ออื่น ๆ ที่แทรกซ้อนซึ่งไม่ค่อยได้ผลนัก เพราะผู้ป่วยขาดภูมิต้านทาน และมักเสียชีวิตเนื่องจากโรคติดเชื้อ
การป้องกัน
ไม่สำส่อนทางเพศ ควรสวมถุงยางอนามัยเวลาร่วมเพศกับคนแปลกหน้า พยายามอย่าเปลี่ยนคู่นอนในหมู่รักร่วมเพศ อย่าร่วมเพศกับผู้ป่วย หรือสงสัยว่าเป็นโรคเอดส์ ก่อนรับการถ่ายเลือด ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้บริจาคเลือดไม่มีเชื้อโรคเอดส์ อย่าใช้เข็มฉีดยาที่ไม่สะอาด หรือร่วมกับผู้ติดยาเสพติด
โรคไซนัสอักเสบ
หมายถึงการอักเสบของโพรงอากาศ (sinus) รอบๆ จมูกและตา ซึ่งมีสาเหตุมากจาการอุดตันของโพรงอากาศจากการติดเชื้อ แพ้หรือระคายเคือง (เช่น ควันบุหรี่) แบคทีเรียเป็นสาเหตุสำคัญของการติดเชื้อนี้
อาการ
น้ำมูกเรื้อรังนานเกิน 10 วัน น้ำมูกอาจมีลักษณะเหลืองเขียว ในเด็กมักมีอาการไอร่วมด้วย บางคนลมหายใจเหม็น ในรายที่มีอาการมากอาจมีไข้ บวมบริเวณรอบขอบตาและปวดบริเวณโหนกแก้ม
สาเหตุ
เมื่อเป็นหวัดหรือมีแผลติดเชื้อ อักเสบที่ฟันบน เชื้อโรคจะเข้าสู่ท่อเล็กๆที่เชื่อมต่อระหว่างโพรงอากาศ(sinus) ทำให้มีการติดเชื้อและอักเสบของเยื่อบุภายในในโพรงอากาศ ท่อต่อเชื่อมตีบตันทำให้ มูกจึงไหลออกมาไม่ได้ หรืออาจเกิดจากการแพ้อาหารบางชนิด การแพ้สารบางชนิด เช่น ควันบุหรี่ ฝุ่นละออง ขนสัตว์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสาเหตุให้แน่ชัด
คำแนะนำ
1. หลีกเลี่ยงจากสิ่งที่ทำลายสุขภาพเมื่อมีความผิดปกติในจมูกควรปรึกษาแพทย์ ควรงดการว่ายน้ำดำน้ำ เมื่อเป็นหวัด หรือโรคภูมิแพ้ของจมูก
2. รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ โดยเฉพาะในฤดูหนาว
3. ดื่มน้ำสะอาดให้พอเพียงทุกวัน
4. หลีกเลี่ยงจากสิ่งมีพิษในอากาศ เช่น ฝุ่นละออง, สารเคมีต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าแมลง, ควันบุหรี่, ทินเนอร์ผสมสี เป็นต้น
5. เมื่อเป็นหวัดอย่าปล่อยไว้นานเกิน 1 สัปดาห์ ควรรีบปรึกษาแพทย์
6. ในกรณีที่มีฟันผุ โดยเฉพาะฟันบนพึงระวังว่าจะมีโอกาสติดเชื้อเข้าสู่ไซนัสได้
7. รักษาสุขภาพช่องปากและฟันให้ดีอยู่เสมอ
8. ออกกำลังกายพอสมควรโดยสม่ำเสมอ
9. รับประทานอาหารที่มีคุณประโยชน์ครบถ้วน และไม่มาก หรือน้อยเกินไป
10. ถ้ามีโรคประจำตัวอยู่ ควรได้รับการรักษาแพทย์โดยสม่ำเสมอ
โรคริดสีดวง
คือ การโป่งพองของหลอดเลือดดำบริเวณส่วนล่างสุดของ ไส้ตรง และช่องทวารหนัก และเมื่อมีกากอาหารหรืออุจจาระผ่าน ก็จะทำให้เกิดการระคายเคือง อาจมีเลือดออก คันบริเวณทวารหนัก หรือปวดขณะขับถ่าย ริดสีดวงทวารแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
ริดสีดวงภายใน
จะอยู่ภายในไส้ตรง ซึ่งจะไม่สามารถมองเห็นหรือรู้สึกได้ และมักจะไม่รู้สึกเจ็บปวด เนื่องจากมีเส้นประสาทมาเลี้ยงน้อย บางครั้งริดสีดวงภายในอาจยื่นออกมาด้านนอก ซึ่งจะทำให้มองเห็นได้ และจะมีอาการเจ็บปวด ริดสีดวงภายใน แบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ
1.ไม่มีก้อนยื่นออกมานอกทวารหนัก
2.มีก้อนยื่นออกมาขณะเบ่งอุจจาระ และหดกลับเข้าไปได้เอง
3.มีก้อนยื่นออกมาขณะเบ่งอุจจาระ แต่ไม่หดกลับเข้าไปต้องใช้มือช่วยดันเข้าไป
4.มีก้อนยื่นออกมาและไม่สามารถใช้มือดันเข้าไปได้
ริดสีดวงภายนอก
จะอยู่บริเวณทวารหนัก มักจะมีอาการเจ็บปวด สามารถมองเห็นและรู้สึกได้
อาการ
1.ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดสด ลักษณะจะเป็นดังนี้คือ จะถ่ายอุจจาระออกมาก่อน ( ระหว่างถ่ายอาจจะเจ็บหรือไม่ก็ได้) จากนั้นจะมีเลือดสดๆ หยดออกมา ตามหลังจากอุจจาระ เลือดจะเป็นเลือดสดจริงๆ มักไม่มีมูกเลือดปน
2.มีก้อนออกมาระหว่างถ่ายอุจจาระ ขณะที่เบ่งอุจจาระ จะมีก้อนยื่นออกมา หรือ มีก้อนออกมาตลอดเวลา ขึ้นกับ ระยะที่เป็น
3.เจ็บและคันบริเวณ ทวารหนัก ปกติ ริดสีดวงจะไม่เจ็บ จะเจ็บในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น เส้นเลือดอุดตัน(Thrombosis) หรือ มีเนื้อเยื่อตาย(Necrosis)
สาเหตุ
1. กรรมพันธุ์
2. การตั้งครรภ์
3. การที่ต้องนั่งหรือยืนนานๆ
4. ป่วยเป็นโรคที่ทำให้เกิดความดันในช่องท้องสูง ตัวอย่าง เช่น โรคตับเรื้อรัง, โรคก้อนเนื้อในช่องท้อง เป็นต้น
5. ท้องผูกหรือท้องเสียเรื้อรัง
คำแนะนำ
1. ออกกำลังกายสม่ำเสมอรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผักและผลไม้
2. ฝึกหัดการขับถ่ายให้เป็นเวลาหลีกเลี่ยงอย่าให้ท้องผูกหรือท้องเดินบ่อยๆ
3. ดื่มน้ำให้มากพอ อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว
โรคหอบหืด
คือโรคของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเกิดจากความไวผิดปกติของหลอดลม ต่อสิ่งกระตุ้น ทำให้ท่อทางหายใจเกิดการตีบแคบ และทำให้หายใจลำบาก
 อาการ
เมื่อได้รับสิ่งกระตุ้นหลอดลมจะเกิดอาการอักเสบ เยื่อบุหลอดลมจะบวมทำให้หลอดลมตีบแคบลง ขณะเดียวกันการอักเสบทำให้หลอดลมมีความไวต่อการกระตุ้นและตอบสนองโดยการหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้อหลอดลม ทำให้หลอดลมตีบแคบลงไปอีก นอกจากนี้หลอดลมที่อักเสบจะมีการหลั่งเมือกออกมามาก ทำให้ท่อทางเดินหายใจตีบแคบ นอกจากนี้กล้ามเนื้อท่อทางเดินหายใจยังเกิดการหดตัว ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดอาการ หายใจลำบาก ไอ หายใจมีเสียงวี๊ซ หายใจถี่ และรู้สึกแน่นหน้าอก ในรายที่มีอาการรุนแรง อาจพบริมฝีปากและเล็บมีสีเขียวคล้ำ
 สาเหตุ
หลอดลมของผู้เป็นโรคหอบหืดมีความไวผิดปกติต่อสิ่งกระตุ้น (STIMULI) สิ่งกระตุ้นส่งเสริมให้เกิดอาการหอบหืดได้แก่
สารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น , ไรฝุ่น , ขนสัตว์ , ละอองเกสร
สารระคายเคือง เช่น ควันบุหรี่ , มลพิษในอากาศ , กลิ่น , ควัน
การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ เช่น ความเครียด , ความโกรธ , ความกลัว , ความดีใจ
การออกกำลังกาย
การเปลี่ยนแปลงของอากาศ
การติดเชื้อไวรัสของระบบทางเดินหายใจ
ยา เช่น ยาแอสไพริน , ยาลดความดันบางกลุ่ม
อาหาร เช่น อาหารทะเล , ถั่ว , ไข่ , นม , ปลา , สารผสมในอาหาร เป็นต้น
 คำแนะนำ
1. เด็กควรกินปลาที่มีไขมันมากเป็นประจำ เช่นปลาค็อด จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นหอบหืด
2. รับประทานอาหารที่มี แมกนีเซียมสูง ได้แก่ เมล็ดทานตะวัน
3. ค้นหาว่าแพ้อะไร และพยายามหลีกเลี่ยง
4. งดอาหารที่กระตุ้นอาการหอบหืด ขึ้นอยู่กับแต่ละคน เช่น อาหารที่ใส่สารกันบูดเช่น เบนโซเอท ซัลไฟท์
5. งดอาหารที่ใส่สีสังเคราะห์ เช่น tartrazine , brilliant blue
6. งดนมวัว ธัญพืช ไข่ ปลา ถั่วลิสง
7. รับประทานยาและออกกำลังกายตามที่แพทย์แนะนำอย่างสม่ำเสมอ
โรคนอนไม่หลับ


อาการ
อาการนอนไม่หลับ แบ่งได้เป็น 3 แบบคือ
1. เมื่อเข้านอนแล้วต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะนอนหลับได้ พบมากในผู้ป่วยที่มีอาการวิตกกังวล เครียดหรือกำลังมีปัญหาที่คิดไม่ตก
2. เมื่อเข้านอนแล้ว หลับได้ทันที แต่จะตื่นเร็วกว่าที่ควร เช่น ตื่นตอนตี 2 ตี 3แล้วนอนไม่หลับอีก ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตาม พบมากในผู้ที่มีอาการซึมเศร้าหรือผู้ที่มีประวัติดื่มเหล้า เป็นต้น
3. เมื่อเข้านอนแล้ว นอนหลับได้ตามปกติ แต่จะตื่นบ่อยๆ เป็นระยะๆเช่น ตื่นทุกสองสามชั่วโมง ทั้งคืนพบได้ในผู้ที่มีโรคทางกาย
 สาเหตุ
1. จิตใจที่มีความวิตก กังวล ซึมเศร้า เครียด
2. อาการขาไม่อยู่นิ่งขณะหลับเนื่องจากร่างกายขาดธาตุเหล็ก
3. เป็นโรคกระดูกเสื่อม ทำให้ปวดตามตัว ปวดขา ท้องเฟ้อ โรคความดันโลหิต โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคต่อมลูกหมากโต เป็นต้น
4. ก่อนนอนรับประทานอาหารมากเกินไปอาหารไม่ย่อย จุกเสียด ท้องอืด
คำแนะนำ
1. เข้านอนให้ตรงเวลาทุกวัน เพื่อให้เกิดสุขนิสัยที่ดีในการนอน
2. จัดกิจกรรมในตอนกลางวัน ให้มีการออกกำลังกาย การทำงานอดิเรก และไม่ควรนอนตอนกลางวัน
3. ก่อนนอน หนึ่งชั่วโมงครึ่ง ควรงดน้ำ เพื่อป้องกันการตื่นมาปัสสาวะในตอนดึก
4. จัดสถานที่ห้องนอนให้สะอาด เงียบ และอากาศถ่ายเทได้ดี ไม่ควรทำงานในห้องนอน ไม่ควรเอาโทรทัศน์ และโทรศัพท์ไว้ในห้องนอน
5. เมื่อหลับแล้ว ไม่ควรปลุก ถ้าไม่จำเป็นมาก
6. ถ้ามีโรคทางกาย ควรกินยาให้สม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายปกติ ก็จะสามารถนอนหลับได้อย่างต่อเนื่อง
7. ดื่มนมอุ่นๆ หรือเครื่องดื่มผสมน้ำผึ้งอุ่นๆ ก่อนนอนจะช่วยให้ประสาทผ่อนคลาย
8. รับประทานอาหารมื้อเย็น ประเภทแป้ง เช่น ข้าว ขนมปัง เผือก มัน นอกจากให้พลังงานแล้วยังช่วยให้ประสาทผ่อนคลาย
9. งดเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ เครื่องดื่มผสมกาเฟอีน ขนม ช็อกโกแลต
10. งดอาหารมื้อดึกที่มีโปรตีน มัน รสจัด
โรคต่อมลูกหมาก
โรคของผู้ชายสูงอายุ ซึ่งจะเป็นกันมากก็คือ โรคเกี่ยวกับต่อมลูกหมาก โรคที่เป็นมีตั้งแต่เบาๆ ขนาดต่อมลูกหมากโต ต่อมลูกหมากอักเสบ ไปจนกระทั่งถึงหนักที่สุดคือ มะเร็งต่อมลูกหมาก ผู้ชายอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปมีโอกาสเป็นต่อมลูกหมากอักเสบได้ และถ้าอายุ 50 ปีขึ้นไปก็มักจะเป็นต่อมลูกหมากโต และทั้งสองอย่าง มีโอกาส เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากได้ทั้งสิ้น
อาการขนาดเบาๆ คือ ปัสสาวะกะปริบกะปรอย คุณผู้ชายบางคนที่เคยภาคภูมิใจในความเป็นลูกผู้ชาย หรือความเป็นชายฉกรรจ์ของตน อาจจะรู้สึกเหมือนเทวดาตกสวรรค์ ลงมานั่งจุ้มปุ๊กอยู่ข้างถังขยะโดยไม่รู้ตัว เมื่ออยู่ๆก็พบว่ามีปัญหาเรื่องการขับถ่ายปัสสาวะ คือปัสสาวะได้ไม่สุด ทั้งๆที่เมื่อก่อนเคยเข้าห้องน้ำแล้วรู้สึกเบาเนื้อเบาตัว น้ำปัสสาวะออกโล่งโถงเบาในกระเพาะปัสสาวะ แต่คราวนี้กลับออกได้ไม่หมด มิหนำซ้ำ ปัสสาวะยังไหลกระท่อนกระแท่น เหมือนมีถุงทรายใบเล็กๆห้อยอยู่ในกระเพาะปัสสาวะข้างล่าง พอเดินออกมานอกห้องน้ำ ก้มลงมองดูข้างล่าง ก็ใจหายวาบ เพราะกางเกงเปียกเป็นหย่อมๆ ขายหน้าสาวๆอีกต่างหาก ตอนนี้ความเป็นชายฉกรรจ์ชักจะหดหายไปหมด ต่อมา อาการกะปริบกะปรอยก็เริ่มจะมีมากขึ้น จนเกิดความรักโถส้วมมากขึ้น ปัสสาวะทีก็ต้องยืนกระบิดกระบวนอยู่หน้าโถส้วมเป็นนานสองนาน พอต่อๆไป อาการก็เริ่มจะแปรปรวน ตอนกลางคืน ต้องเข้าห้องน้ำ 3-4 ครั้ง บางคนมากกว่านั้น เข้าเกือบทุกชั่วโมงเลยก็มี
อาการอีกอย่างก็คือ เวลาปัสสาวะ บางคนจะรู้สึกแสบๆ ปัสสาวะสีแก่จัดและขุ่นข้น ที่ร้ายไปกว่านั้น ( หรืออาจจะร้ายที่สุด สำหรับผู้ที่รู้สึกว่า เป็นชายฉกรรจ์ ) คุณผู้ชายบางคน เตะปีบไม่ดังเอาดื้อๆ อาการซึ่งเริ่มจะไม่ดีจนถึงขั้นเป็นมะเร็งได้ก็คือ เริ่มมีไข้และรู้สึกหนาวเป็นบางครั้ง มีอาการปวดบริเวณสามเหลี่ยมระหว่างใต้ลูกอัณฑะกับทวารหนัก ปวดหลังปวดเอว บางครั้งฉี่ไม่ออกเลย หรือไม่ก็จะมีเลือดออกปนมากับน้ำปัสสาวะด้วย
ทั้งหมดนี้เป็นอาการรวมๆ ตั้งแต่น้อยไปหามาก และถึงแม้ว่าอาการต่อมลูกหมากโตจะไม่เกี่ยวกับการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก แต่อาการจากน้อยไปหามากก็จะมีเหมือนๆกัน แม้ว่าอาการเจ็บป่วยของต่อมลูกหมากจะเป็นเพียงอาการเบาๆ แต่ก็เป็นการทรมาณทางกายมากพอดู ความทรมาณที่สาหัสสากรรจ์ที่สุดอีกอย่างหนึ่งซึ่งไม่มีใครมองเห็นแม้แต่แพทย์ผู้รักษา ก็คือความทรมาณทางจิตใจของคุณผู้ชายซึ่งเป็นเทวดาตกสวรรค์นั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับต่อมลูกหมาก มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับต่อมฮอร์โมนด้วย คือการผลิตฮอร์โมนของร่างกายจะผิดปกติ บางตัวขาด บางตัวเกิน และมีผลทำให้เกิดอาการหงุดหงิดหรือซึมเศร้าได้ และยิ่งถ้าอาการร้ายแรงถึงขั้นเป็นมะเร็งด้วยแล้ว ก็ยิ่งจะมีความเครียด และความ ซึมเศร้ามากขึ้น จนถึงขั้นอยากตายเลยก็ได้ ฉะนั้น จะถือได้ว่าปัญหาซ่อนเร้นที่สำคัญนั้นก็คือ ปัญหาด้านจิตใจที่ผู้ป่วยจะรู้สึกคับแค้นใจและทุกข์ทรมาน มากกว่าการเจ็บป่วยทางกายหลายเท่านัก
สำหรับการรักษาทางการแพทย์ในปัจจุบัน จะต้องอาศัยการผ่าตัดเป็นส่วนใหญ่ โดยมีเทคนิคและเครื่องมือใหม่ๆมาใช้อย่างมากมาย ซึ่งในที่นี้ เราจะไม่ขอกล่าวถึงวิธีการรักษาของโรงพยาบาลหรือตามคลินิก แต่จะขอกล่าวถึงการรักษาด้วยวิธีผสมผสานและด้วยวิธีธรรมชาติ ซึ่งเป็นวิธีที่จะช่วยป้องกันมิให้เป็นโรคที่แสนทรมานโรคนี้ แผนการป้องกันที่ดีที่สุด ซึ่งพิสูจน์มาแล้วทั้งในแผนปัจจุบันและแผนผสมผสาน ก็คือ การใช้อาหาร อาหารที่ดีที่สุดสำหรับต่อมลูกหมาก ได้แก่ อาหารที่มีธาตุสังกะสี ( Zinc ) ซึ่งอาหารที่มีธาตุสังกะสีมากที่สุดก็คือ ฟักทองและเมล็ดฟักทอง นอกจากนั้นธาตุสังกะสียังมีอยู่ในอาหารอย่างอื่นอีก เช่นจมูกข้าว ( ได้ทั้งจากข้าวสาลี ข้าวสาร และข้าวอื่นๆ ) และมัสตาร์ดผง ในขณะเดียวกันก็ควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ซึ่งจะไปช่วยส่งเสริมการทำงานของธาตุสังกะสี ในทางกลับกัน ธาตุสังกะสีจะช่วยสนับสนุนวิตามินและแร่ธาตุต่างๆนั้นด้วย เรียกว่าร่วมมือร่วมใจกันทำงาน ให้ประโยชน์แกร่างกายอย่างเต็มที่
วิตามินและแร่ธาตุต่างๆนั้นได้แก่
วิตามิน A อาหารซึ่งมีวิตามินเอ ได้แก่ ตับปลา แครอต ผักผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น ฟักทอง มะละกอสุก เป็นต้น
วิตามิน B คอมเพล็กซ์ มีอยู่ในอาหารพวกถั่ว รำข้าว ข้าวโอ้ต ผักสีเขียวต่างๆ ยีสต์แห้ง ปลา ไข่ แคนตาลูป กะหล่ำปลี โมลาส
วิตามิน C มีอยู่ในผลไม้และผักรสเปรี้ยว ผักใบเขียว ดอกกะหล่ำ มันฝรั่ง มันเทศ
วิตามิน E มีอยู่ในจมูกข้าว ถั่วเหลือง น้ำมันพืช บร็อคเคอรี่ ผักโขม ข้าวสาลี ข้าวซ้อมมือ ไข่
วิตามิน F และเลคซิทิน ( ไขมันจำเป็น Essential Fatty Acids ) มีอยู่ในเมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน และงา
แมกนีเซียม มีอยู่ในลูกมะเดื่อ มะนาว ส้มโอ ข้าวโพดเหลือง ถั่วอัลมอนด์ ถั่วต่างๆ ผักใบเขียวจัด แอ็ปเปิ้ล
เกสรผึ้ง ( Bee Pollen ) ในเกสรผึ้งมีแร่ธาตุและฮอร์โมนหลายชนิด ได้มีการทดลองในทางการแพทย์หลายครั้ง พบว่าแร่ธาตุและฮอร์โมน ในเกสรผึ้งมีประโยชน์ต่อต่อมลูกหมากโดยตรง
เหล่านี้คืออาหารซึ่งจะช่วยให้ต่อมลูกหมากดีขึ้นและช่วยป้องกันการอักเสบของต่อมลูกหมากได้ แต่ในกรณีที่เกิดการอักเสบขึ้นแล้ว ทั้งอาหารและอาหารเสริมก็ยังช่วยได้ และช่วยได้ดีขึ้นถ้าจะเพิ่มปริมาณ ( Dose ) ของวิตามิน-แร่ธาตุให้มากขึ้น โดยใช้วิตามิน-แร่ธาตุเหล่านี้ ในลักษณะของเม็ดยาซึ่งสกัดมาแล้ว คือเพิ่มขึ้นตามปริมาณต่อไปนี้
วิตามินเอ 10,000-25,000 I.U. ต่อวัน
วิตามินบี1 , 6 , 12 อย่างละ 50 มก. ต่อวัน
เกสรผึ้ง 3-9 เม็ด ต่อวัน
วิตามินซี 3,000-5,000 มก. ต่อวัน
วิตามินอี 800 I.U. ต่อวัน
แมกนีเซียม 500 มก. ต่อวัน
Zinc 200 มก. ต่อวัน
 และควรจะงดเหล้า - บุหรี่ พร้องทั้งลองเปลี่ยนจากการนั่งเก้าอี้เบาะ มาเป็นนั่งเก้าอี้แข็ง ถ้าจะให้ดี ควรเสริมท่าบริหารด้วยการ นอนหงาย งอเข่า เท้าทั้งสองชิดกัน แล้วแยกเข่าออกสองข้างช้าๆ ยกกลับคืนท่าเดิม ทำอย่างนี้เช้า-เย็น อย่างน้อยได้สัก 20 ครั้งจะดีมาก
สตรีวัยทอง
หรือสตรีวัยหมดประจำเดือนหรือวัยหมดระดู คือ สตรีในวัยที่มีการสิ้นสุดของการมีประจำเดือนอย่างถาวร เนื่องจากรังไข่หยุดทำงาน มีสาเหตุมากจากการที่จำนวนไข่ใบเล็กๆในรังไข่มีปริมาณลดลง ซึ่งมีผลทำให้การสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง จนหยุดการสร้างไปในที่สุด
 วัยทองเป็นระยะซึ่งสตรีส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นด้านครอบครัว หน้าที่การงาน และฐานะความเป็นอยู่ โดยเฉลี่ยสตรีไทยเริ่มเข้าสู่วัยทองหรือวัยหมดระดู โดยธรรมชาติเมื่ออายุประมาณ 50 ปี ในกรณีที่หมดระดูเมื่ออายุน้อยกว่า 40 ปี เรียกว่า หมดระดูก่อนเวลาอันควร ซึ่งจะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆมากขึ้น เช่นเดียวกับสตรีที่หมดระดูจากการผ่าตัดรังไข่ออกทั้ง 2 ข้าง อายุขัยเฉลี่ยของสตรีไทยประมาณ 71 ปี ดังนั้นช่วงเวลาที่สตรีต้องอยู่ในสภาวะวัยหมดระดูนั้น มีประมาณ 1 ใน 3 ของช่วงชีวิตทั้งหมดของสตรี ซึ่งเป็นระยะเวลานานกว่า 20 ปี
มีอาการอย่างไร ?
เมื่อสตรีย่างเข้าสู่วัยทอง อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของร่างกายและจิตใจ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขาดฮอร์โมนเพศ คือ เอสโตรเจน เช่น
รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอ อาจห่างออกไปหรือสั้นเข้า อาจมีเลือดประจำเดือนน้อยลง หรือมากขึ้น
เกิดอาการซึมเศร้า, หงุดหงิด, กังวลใจ, ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง, ความจำเสื่อม, ความต้องการทางเพศ หรือการตอบสนองทางเพศลดลง
ช่องคลอดแห้ง, คันบริเวณปากช่องคลอด, มีการอักเสบของช่องคลอด, เจ็บเวลาร่วมเพศ, อาจมีการหย่อนยานของมดลูก และช่องคลอด, มีการหย่อนของกระเพาะปัสสาวะ, ปัสสาวะบ่อย, กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ขณะไอหรือจาม หรือขณะยกของหนัก
ผิวหนังแห้ง, เหี่ยวย่น, คัน, ช้ำและเป็นแผลได้ง่าย, ผมแห้ง, ผมร่วง
เต้านมมีขนาดเล็กลง, หย่อน, นุ่มกว่าเดิม
เกิดโรคของระบบหัวใจและหลอดเลือด พบว่าสตรีก่อนวัยหมดประจำเดือนอัตราส่วนของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันในชาย จะสูงกว่าหญิงในอัตรา 9:3 แต่เมื่อสตรีเข้าสู่วัยหมดระดู จะเริ่มมีอัตราการเกิดโรคดังกล่าวเพิ่มขึ้น จนมีอัตราใกล้เคียงกับชายเมื่ออายุ 70 ปี ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนในสตรีวัยทอง ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน
การขาดเอสโตรเจน โดยเฉพาะในระยะแรกของวัยหมดระดู อาจทำให้มีการสูญเสียเนื้อกระดูกได้ถึงร้อยละ 3-5 ต่อปี จนทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน และอาจมีการหักของกระดูกในส่วนต่างๆ ได้แก่ กระดูกข้อมือ, กระดูกสันหลัง, กระดูกสะโพก เป็นต้น

การดูแลตัวเอง
สตรีควรตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงในวัยนี้ ควรหาความรู้เพิ่มเติมพร้อมดูแลตนเองให้มีสุขภาพกายและใจที่ดีโดย ควรรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับวัย หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันสัตว์ หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ คาเฟอีน และบุหรี่ ควรได้รับแคลเซียมประมาณวันละ 1,000-1,500 มิลลิกรัม อาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น กุ้งแห้ง, ปลาเล็กปลาน้อย, ผักใบเขียว รับประทานอาหารที่มีเอสโตรเจนธรรมชาติ เช่น ถั่วเหลือง, ข้าวโพด, ข้าวโอ๊ด, ข้าวสาลี, ข้าวบาร์เล่ย์, มันฝรั่ง, มันเทศ, มะละกอ เป็นต้น
การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ควรกระทำในสตรีวัยหมดระดู เพราะมีผลต่อการสร้างเนื้อกระดูก มีผลดีต่อการลดไขมัน และการแข็งตัวของเลือด นอกจากนี้ยังมีหลักฐานว่า การออกกำลังกายสามารถลดอาการทางระบบประสาทอัตโนมัติ และภาวะซึมเศร้าในวัยหมดระดูได้
ในรายที่มีอาการต่างๆ รุนแรง ได้รับความทุกข์ทรมาน รบกวนความสุขในชีวิต หรือมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และ หลอดเลือด, โรคกระดูกพรุน ควรพบแพทย์เพื่อพิจารณาการให้ฮอร์โมนทดแทน
ชายวัยทอง
ภาวะการพร่องฮอร์โมนใน...ชายวัยทอง
                ความเชื่อที่มีกันมานานว่า ผู้ชายจะคงความเป็นชายหรือมีการสร้างฮอร์โมนเพศชายไปตลอดชีวิต ส่วนผู้หญิงนั้นเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนแล้วรังไข่จะหยุดการสร้างฮอร์โมนเพศหญิง ทำให้เกิดกลุ่มอาการต่างๆ ทั้งทางด้านร่างกายจิตใจ และอารมณ์
แท้ที่จริงแล้ว เมื่ออายุย่างเข้าวัย 40 ปีขึ้นไป การสร้างฮอร์โมนเพศชายจะลดลงอย่างสม่ำเสมอทุกปี เมื่อระดับของฮอร์โมนเพศชายลดลงถึงระดับหนึ่งจะเกิดภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชายไปบางส่วน ทำให้เกิดอาการต่างๆคล้ายกับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน การพร่องฮอร์โมนเพศชายดังกล่าว มักจะเริ่มเกิดขึ้นเมื่อผู้ชายย่างเข้าสู่วัยกลางคน และอาการต่างๆจะแสดงออกเมื่อระดับฮอร์โมนเพศชายลดลงกว่าระดับปกติของร่างกายประมาณ 20 เปอร์เซนต์ การพร่องฮอร์โมนเพศชายไปบางส่วนนี้จึงมีชื่อเรียกว่า " พา - ดาม " ตรงกับคำในภาษาอังกฤษคือ PADAM ซึ่งย่อมาจากคำว่า PARTIAL ANDROGEN DEFICIENCY OF THE AGING MALE
ผลการศึกษาวิจัยที่เชื่อถือได้มาจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยบอสตันประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าเมื่อผู้ชายอายุย่างเข้า 40 ปี การสร้างฮอร์โมนเพศชายจะลดลงปีละ 1 เปอร์เซนต์ และอาการต่างๆ อันเป็นผลมาจากการขาดฮอร์โมนเพศชายนั้น จะค่อยเป็นค่อยไป ไม่เกิดขึ้นรวดเร็วและอาการมากเหมือนผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
อาการ ! ที่บ่งบอกถึง " ภาวะการพร่องฮอร์โมนเพศชาย "
อาการระยะแรก : เมื่อร่างกายเริ่มพร่องฮอร์โมนเพศชาย อวัยวะต่างๆ ที่มีส่วนสัมพันธ์กับฮอร์โมนเพศชายจะเริ่มเสื่อมลง ทำงานลดลงและเกิดอาการทางด้านจิตใจและอารมณ์ตามมา
อาการทางด้านร่างกาย : จะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามตัวโดยไม่มีสาเหตุ ไม่กระฉับกระเฉง กล้ามเนื้อต่างๆลดขนาดลง ไม่มีแรง และอวัยวะเพศเริ่มไม่แข็งตัวในช่วงตื่นตอนเช้า
อาการทางด้านสติปัญญาและอารมณ์ : เครียดและหงุดหงิดง่าย โกรธง่าย เฉื่อยชา ขาดสมาธิในการทำงาน ความจำลดลง โดยเฉพาะความจำระยะสั้น
อาการทางด้านระบบไหลเวียนโลหิต : บางคนอาจมีอาการ ร้อนวูบวาบหรือมีเหงื่อออกในตอนกลางคืน
อาการทางด้านจิตและเพศ : จะมีอาการนอนไม่หลับ ตื่นตกใจง่าย สมรรถภาพทางเพศและความต้องการทางเพศลดลง หรือ ไม่มีอารมณ์เพศ บางคนเกิดอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศด้วย ปัจจุบันพบว่าชายไทยหลังอายุ 40 ปีไปแล้ว มีอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศเพิ่มขึ้น เพราะไม่มีอารมณ์เพศ เนื่องจากฮอร์โมนเพศชายเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอารมณ์เพศเมื่อระดับฮอร์โมนเพศชายลดลง จึงไม่เกิดอารมณ์ที่จะมีเพศสัมพันธ์ รวมทั้งอวัยวะเพศชายเมื่อขาดฮอร์โมนเพศชายไปกระตุ้นแล้วก็มักจะเสื่อมลงตามไปด้วย
.... ภัย...ที่รุกรานในระยะยาว
ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
ผลของการขาดฮอร์โมนเพศชายจะทำให้กระดูกบางลง เป็นโรคกระดูกพรุนได้ เช่นเดียวกับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ทำให้เกิดกระดูกหักในผู้ชายสูงวัยได้ นอกจากนี้กล้ามเนื้อจะค่อยๆลดขนาดลง โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ชอบออกกำลังกาย มีผลให้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลดลง
สมรรถภาพทางเพศ
                เมื่อร่างกายขาดฮอร์โมนเพศชายไปนานๆเข้า นอกจากอารมณ์เพศและการตอบสนองทางเพศลดลงแล้ว ความถี่ของการมีเพศสัมพันธ์ ความถี่ในการถึงจุดสุดยอด รวมทั้งความพึงพอใจในการมีเพศสัมพันธ์ จะลดลงไปตามระดับของฮอร์โมนเพศชายที่ขาดหายไป รวมทั้งระยะเวลาที่ขาดหายไปด้วย
เตรียมกายเตรียมใจเข้าสู่วัยทอง
การเตรียมตัวที่ดีย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง บางคนกล่าวว่าชีวิตเริ่มต้นเมื่อพ้นสี่สิบ ในวัยทองนี้จะต้องหมั่นรักษาสุขภาพกาย สุขภาพใจให้ได้ ใช้ชีวิตอย่างสุขุมรอบคอบ เดินสายกลาง ปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตให้เหมาะสม ทั้งการทำงาน การพักผ่อนสันทนาการ การออกกำลังกาย รวมทั้งการทำจิตใจให้สงบ ควบคุมอาหารการกินให้ได้สัดส่วนและเหมาะสมกับวัย และแน่นอนว่าถ้าระดับฮอร์โมนเพศชายที่ลดลงไปนั้น ทำให้คุณภาพชีวิตเลวลงแล้ว การไปขอคำปรึกษาจากแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ และรับฮอร์โมนเพศชายเสริมให้ได้ระดับปกติ อาจทำให้อาการต่างๆ อันไม่พึงประสงค์หมดไปและคุณภาพชีวิตดีขึ้น


โรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
โรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในปัจจุบัน หมายถึง โรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในเพศชาย คือการที่อวัยวะเพศ ไม่แข็งตัว หรือการแข็งตัวไม่สมบูรณ์ของอวัยวะเพศ คำเดิมที่ใช้คือ การหมดสมรรถภาพทางเพศ
 สาเหตุ
มีหลาย ระดับ หากไม่นับโรคทางกาย เช่น อัมพฤก อัมพาต โรคเกี่ยวกับ ระบบเส้นเลือด เบาหวาน ความดันโลหิตสูงหัวใจ โรคเหล่านี้ ทำให้เกิดอาการเสื่อมได้ทั้งสิ้น เนื่องจากสุขภาพทางกายไม่แข็งแรง ในคนปกติทั่วไป หากมีโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศเกิดขึ้น มีปัจจัยทั้งด้านจิตใจและสิ่งแวดล้อมเข้ามา เกี่ยวข้องในการวิจัยที่ต่างประเทศ
การเสื่อมในผู้ชายที่แข็งแรง อายุเฉลี่ย 40-60 ปี พบว่าการเสื่อมมีสูงถึงประมาณใกล้เคียง 50 % คือ 1 ใน 2 คนมีภาวะเสื่อม การเสื่อมมีหลายระดับ เช่น เสื่อมเล็กน้อย หรือเสื่อมบางครั้งบางคราว เสื่อมปานกลาง คือ เริ่มมีกิจกรรมทางเพศไม่ได้ และการเสื่อมสมบูรณ์แบบ คือ ไม่สามารถมีกิจกรรมทางเพศได้อีกเลย เป็นที่น่าสังเกตว่าการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศเริ่มแฝงตัวในคนปกติมากขึ้นเรื่อย ๆ
วิธีรักษา
แพทย์จะซักประวัติผู้ป่วยทั้งประวัติส่วนตัว ประวัติการเจ็บป่วย ประวัติการผ่าตัดแพทย์จะตรวจร่างกาย เพื่อดูระบบประสาท ระบบกล้ามเนื้อ ตรวจอวัยวะเพศเพื่อหาความผิดปกติ อะไรที่มีส่วนเกี่ยวข้องบางครั้ง มีการเจาะเลือด เอ็กซเรย์ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับแพทย์ในการเลือก
โรคตับอักเสบ
อาจเกิดได้จากสาเหตุหลายอย่างเช่นจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรียเชื้อรา โปรโตซัว หรือหนอนพยาธิ นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการได้รับยาหรือสารพิษบางอย่างด้วย แต่สาเหตุที่สำคัญที่สุดคือ การติดเชื้อไวรัส มีไวรัสหลายชนิดทำให้เกิดโรคตับอักเสบได้ โรคตับอักเสบมี 2 ชนิด
โรคตับอักเสบเฉียบพลัน [acute hepatitis]
หมายถึงโรคตับอักเสบที่เป็นไม่นานก็หาย ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการ 2-3 สัปดาห์โดยมากไม่เกิน 2 เดือน ผู้ป่วยส่วนใหญ่หายขาดจะมีบางส่วนเป็นตับอักเสบเรื้อรัง และบางรายรุนแรงถึงกับเสียชีวิต
โรคตับอักเสบเรื้อรัง [chronic hepatitis]
หมายถึงตับอักเสบที่เป็นนานกว่า 6 เดือนจะแบ่งเป็น 2 ชนิด
chronic persistent เป็นการอักเสบของตับแบบค่อยๆเป็นและไม่รุนแรงแต่อย่างไรก็ตามโรคสามารถที่จะทำให้ตับมีการอักเสบมาก
chronic active hepatitis มีการอักเสบของตับ และตับถูกทำลายมากและเกิดตับแข็ง
อาการ
ตับอักเสบเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการที่พบได้บ่อย คือ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ปวดข้อ คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร อาจจะพบผื่นตามตัว หรืออาการท้องเสีย บางรายปัสสาวะสีเข้ม ตัวเหลืองตาเหลือง ซึ่งอาการตัวเหลืองตาเหลืองจะหายไป 1-4 สัปดาห์ แต่บางรายอาจนาน 2-3 เดือน ส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติ โรคไวรัสตับอักเสบ บี พบว่าร้อยละ 5-10 เป็นตับอักเสบเรื้อรัง ส่วนไวรัสตับอักเสบ ซี ร้อยละ 85 เป็นตับอักเสบเรื้อรัง
ตับอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยมักไม่มีอาการ แต่จะมีการทำลายเซลล์ตับไปเรื่อยๆจนเกิดตับแข็ง และเป็นมะเร็งตับในที่สุด
สาเหตุ
ตับอักเสบเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการที่พบได้บ่อย คือ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ปวดข้อ คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร อาจจะพบผื่นตามตัว หรืออาการท้องเสีย บางรายปัสสาวะสีเข้ม ตัวเหลืองตาเหลือง ซึ่งอาการตัวเหลืองตาเหลืองจะหายไป 1-4 สัปดาห์ แต่บางรายอาจนาน 2-3 เดือน ส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติ โรคไวรัสตับอักเสบ บี พบว่าร้อยละ 5-10 เป็นตับอักเสบเรื้อรัง ส่วนไวรัสตับอักเสบ ซี ร้อยละ 85 เป็นตับอักเสบเรื้อรัง
ตับอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยมักไม่มีอาการ แต่จะมีการทำลายเซลล์ตับไปเรื่อยๆจนเกิดตับแข็ง และเป็นมะเร็งตับในที่สุด
คำแนะนำ
1. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้ โดยเฉพาะในเด็ก
2. ควรแยกอุปกรณ์เครื่องใช้กับผู้ที่ติดเชื้อ เช่น แก้วน้ำ จาน ช้อนซ่อม เป็นต้น
3. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหักโหมในช่วงที่มีการอักเสบของตับ แต่การออกกำลังอย่างสม่ำเสมอในตับอักเสบเรื้อรังสามารถทำได้
4. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
5. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนอย่างพอเพียง ไม่ต้องดื่มน้ำหวานมากๆ เพราะทำให้ไขมันสะสมที่ตับเพิ่มขึ้น 

โรคต่างๆ (PowerPoint)